หลังจากที่ต้นเดือนสิงหาคม มีรายงานว่าทั้งสีจิ้นผิง และปูติน จะมีนัดหมายสำคัญพบกัน เพื่อหารือถึงสถานการณ์ต่าง ๆ ที่เกิดขึ้นในประเทศระหว่างกัน ทั้งเรื่องสงครามรัสเซีย-ยูเครน และเรื่องของสหรัฐฯ ที่เข้ามาเกี่ยวข้องในความตึงเครียดช่องแคบไต้หวัน ทำให้สื่อทั่วโลกจับตามองว่า งานนี้ทั้งคู่จะมีการคุยลับนอกรอบจริงหรือไม่ เพราะในตอนแรก ทางการจีนยังไม่ออกมาคอนเฟิร์มว่า นัดหมายนี้สีจิ้นผิงจะเดินทางมาหรือไม่ จนในที่สุดสีจิ้นผิงก็ตอบรับ ว่าจะเดินทางมาพบกับปูตินที่ ประเทศอุซเบกิสถาน และจะมีการคุยหารือเช่นพันธมิตรกันด้วย
โดยทั้งสองจะพบกันในที่ประชุม องค์การความร่วมมือเซี่ยงไฮ้ หรือ Shanghai Cooperation Organization ที่เมืองซามาร์กันด์ ประเทศอุซเบกิสถาน ภูมิภาคเอเชียกลาง วันที่ 15-16 ก.ย. ซึ่งคาดหมายกันว่าจะเป็นภาพความสัมพันธ์ที่แนบแน่นระหว่างสองชาติมหาอำนาจ
ช่วงเวลานี้ นายปูตินตกอยู่ในสถานการณ์ปั่นป่วนทางการเมืองและเศรษฐกิจ จากการทำสงครามในยูเครน ทำให้รัสเซียถูกชาติตะวันตกโดดเดี่ยว ส่วนนายสีเผชิญความตึงเครียดกับชาติตะวันตกในกรณีไต้หวัน และกรณีที่ปฏิบัติต่อชนกลุ่มน้อยมุสลิมอุยกูร์
สำหรับประธานาธิบดีสี จิ้นผิง ทริปเดินทางไปประชุมครั้งนี้ยังพิเศษตรงที่เป็นการเยือนต่างประเทศครั้งแรกในรอบสองปีครึ่งนับจากโควิด-19 ระบาดไปทั่วโลก ตลอดเวลาสองปีกว่ามานี้ นายสีมีทริปเดินทางออกจากแผ่นดินใหญ่วันเดียว ไปฮ่องกง
ส่วนด้านรัสเซีย กองทัพเพิ่งเสร็จสิ้นการซ้อมรบที่มีจีนเข้าร่วม แสดงถึงความสัมพันเทธ์ที่แนบแน่น นอกจากนี้ รัสเซียยังเริ่มกระบวนการซื้อจรวดและปืนใหญ่จากเกาหลีเหนือ พันธมิตรสำคัญของจีน สำหรับมาใช้ในศึกยูเครนด้วย
ผู้เชี่ยวชาญเชื่อว่า ผู้นำรัสเซียและจีนต่างหวังพึ่งกันและกันในการสร้างความแข็งแกร่งทั้งในประเทศและต่างประศ
อเล็กซานเดอร์ กาบูเอฟ แห่งสถาบันสันติภาพนานาชาติ คาร์เนกี เอ็นดาวเมนต์ วิเคราะห์ว่า สำหรับปูตินแล้ว การพบสี จิ้นผิง คือโอกาสที่จะแสดงถึงความเป็นพันธมิตรที่ทรงอิทธิพล ว่า “คุณจะมาโดดเดี่ยวรัสเซียได้อย่างไร ในเมื่อจีนยืนอยู่ข้างเรา”
สำหรับสี จิ้นผิง นี่จะเป็นโอกาสที่จะยืนขึ้นยังจุดที่อยู่ฝั่งตรงข้ามกับชาติตะวันตก ในสงครามยูเครน พร้อมกับส่งสารความเป็นชาตินิยมเมื่อความสัมพันธ์กับสหรัฐตึงเครียดขึ้น ทั้งด้านการค้า เทคโนโลยี และสิทธิมนุษยชน รวมถึงคำขู่ของจีนที่เปิดช่องไว้ว่าอาจโจมตีไต้หวัน