พล.ต.ท.โทปิยะ อุทาโย ผู้ช่วยผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติในฐานะรองผู้อำนวยการศูนย์ปราบปรามอาชญากรรมทางเทคโนโลยีสารสนเทศสำนักงานตำรวจแห่งชาติ (ศปอส.ตร.) แถลงจับกุมเครือข่ายกักตุนหน้ากากอนามัยขายเกินราคาโดยสามารถจับกุมนายพันธ์ยศ อัครอมรพงศ์ ประธานยุทธศาสตร์พรรคภราดรภาพ ที่นำเสนอไปก่อนหน้านี้
ขณะเดียวกันกลายเป็นเรื่องร้อนแรงบนโซเชียล เมื่อเจ้าหน้าที่ตำรวจทำการเร่งสืบหาตัวตนเจ้าของเพจ “แหม่มโพธิ์ดำ” ที่ได้แชร์เฟซบุ๊คการไลน์ขายหน้ากากอนามัย 200 ล้านชิ้น ของเสี่ยบอย ซึ่งถือเข้าข่ายนำเข้าข้อมูลอันเป็นเท็จและจากเหตุการณ์ในครั้งนั้น ทำให้เพจแหม่มโพธิ์ดำออกมาเคลื่อนไหว หลังตนเองถูกมองว่าเป็นคนผิดหลังเปิดโปงการกักตุนหน้ากากจำนวน 200 ล้านชิ้น
ล่าสุด แฟนเพจแหม่มโพธิ์ดำ โพสต์ข้อความโดยระบุว่า “งานเข้าเฉยจ้า เห็นข่าวไม่กี่ชั่วโมงที่ผ่านมา บอกว่าวันนี้ตำรวจกำลังเร่งสืบหาตัวตนเจ้าของเพจเฟซบุ๊กแหม่มโพธิ์ดำ หลังแชร์คลิปการไลฟ์ขายหน้ากากอนามัย 200 ล้านชิ้น ที่เป็นข่าวก่อนหน้า ซึ่งถือว่าเข้าข่ายความผิดนำเข้าข้อมูลอันเป็นเท็จ
(ต่อ)ออกมาช่วยสังคมตามหาหน้ากาก เพราะโรงพยาบาลทั่วประเทศรวมถึงประเทศไทย ไม่มีหน้ากากใช้ ไปไหนไม่รู้ หาไม่เจอ พอไอ้บอยโพสต์หลักฐาน ทั้งคลิปอวดหน้ากาก หน้ากากกองเป็นลังๆ บัญชีต่าง ๆ เต็มไปหมด โพสต์โยงใยไปถึงคนในรัฐบาล ก็นำมาลงให้ เพื่อผลประโยชน์ของภาคประชาชน รัฐก็มาบิด ๆ ให้ข้อมูลสื่อหาว่าได้ข้อมูลมาจากฝั่งล้มล้างรัฐบาล คือเป็นบ้าเหรอ มีหลักฐานอะไรบ้าง ทำเพจมาไม่เคยยุ่งเกี่ยวการเมืองสักครั้งมีแค่เรื่องหน้ากาก เพราะมันเดือดร้อนกันทั้งแผ่นดิน กลายเป็นคนแจ้งผิด”
ด้าน ทนายเดชา ได้โพสผ่านเพจทนายคลายทุกข์ว่า นายบอยนำเข้าข้อมูลอันเป็นเท็จในระบบคอมพิวเตอร์ ยอมรับสารภาพแล้วเท่าที่ติดตามข่าว แหม่มโพธิ์ดำนำมาโพสต์ต่อก็จะถูกดำเนินคดีข้อหาเดียวกัน ในฐานะผู้เผยแพร่เป็นไปตามกฎหมายคอมพิวเตอร์ไม่มีอะไรสลับซับซ้อน
ส่วนแหม่มโพธิ์ดำ ก็ต้องสู้คดี ทางรอดคือ ต่อสู้ว่าสำคัญผิด หรือขาดเจตนา หรือติชมโดยสุจริต ตามวิสัยของประชาชนย่อมกระทำ ซึ่งเป็นข้ออ้างตามกฎหมาย เมื่อคดีไปถึงศาล ศาลท่านจะใช้ดุลพินิจเอาเองว่า จะรอดหรือไม่รอด
คดีนี้เป็นบทเรียนสำหรับพวก เพจสายดาร์คทั้งหลายในการจะแฉเรื่องราวต่าง ๆ ผ่านโซเชียล จะต้องศึกษาข้อกฎหมายให้ดี มิฉะนั้นอาจถูกดำเนินคดีตามกฎหมายคอมพิวเตอร์ได้
ข้อมูลจาก : เพจทนายคลายทุกข์ , แหม่มโพธิ์ดำ