จากที่ชาติมหาอำนาจพากันคว่ำบาตรรัสเซีย โดยอ้างถึงการรุกรานยูเครน ส่งผลให้หลายประเทศตะวันตกต้องประสบปัญหาขาดแคลนพลังงาน โดยเฉพาะอย่างยิ่งเยอรมันที่ถือว่าเป็นประเทศเศรษฐกิจใหญ่ที่สุดของยุโรป
ทั้งนี้มีความเคลื่อนไหวที่น่าสนใจเมื่อวันนี้ 07 กันยายน 2565 เพจ World Update เปิดเผยถึงข้อมูลของเยอรมันผ่านการโพสต์เผยแพร่ไว้ โดยระบุแหล่งที่มาจาก channelnewsasia และ euractive ซึ่งมีเนื้อหาบางส่วนที่ชวนติดตามว่า
“นับจากวันที่ 24 ก.พ.2022 เป็นต้นมาที่รัสเซีย ปฏิบัติการทางทหารปลดปล่อยชาวสลาฟเชื้อสายรัสเซียที่ถูกยูเครน และกองกำลัง Azov ของ NATO ล้างเผ่าพันธุ์นาน 8 ปีต่อเนื่องมากถึง 14,000 ราย โดยไร้การประโคมข่าวร้ายแรงนี้จากสื่อตะวันตกเผยแพร่ให้ชาวโลกรับรู้
จนเมื่อรัสเซียเริ่มปฏิบัติการฯ ทำให้ข่าวสารจากสื่อโลกตะวันออกและสื่อโซเชียล กระจายไป ทำให้ชาวโลกรับรู้ว่ายังมีชาวสลาฟอีกหลายล้านคนที่รอรัสเซียมาปลดปล่อยพวกจากยูเครน สถานการณ์โลกพลิกกลับ ชาติกว่า 150 ชาติ ราว 3 ใน 4 ของสมาชิกสหประชาชาติ เลือกข้างรัสเซีย ถอยห่างและไม่ต้องการคบค้าสหรัฐ สหภาพยุโรป และบริวาร
ชาติมหาอำนาจน้อยใหญ่ในโลก หันไปทำการค้าขายกับรัสเซียอย่างโจ่งครึ่มทั้ง จีน อินเดีย ซาอุดิอาระเบีย UAE ตุรเคีย อียิปต์ อิหร่าน ซีเรีย ลิเบีย เลบานอน ตะวันออกกลาง เอเชียกลาง รวมทั้งแอฟริกายกทวีป ไม่เว้นแม้แต่ชาติในทวีปอเมริกาใต้ ที่ตีจากสหรัฐ พากันยกขบวนมาทั้งแถบ เพราะอำนาจการค้าของกลุ่ม BRICS นั้นมีอิทธิพลต่อสินค้าโภคภัณฑ์จำเป็นต่อชาวโลก
การคว่ำบาตรรัสเซียที่เป็นเจ้าพ่อทรัพยากรทุกชนิด 30% ของโลก ก็คือการประกาศประท้วงว่าจะอดอาหาร และอดพลังงาน นั่นเอง ซึ่งไม่ต้องสงสัยว่าคนคว่ำบาตรนั่นแหละจะสิ้นแรงจนทรุดและล้มหายตายจาก จมดิ่งลงเหวไป ชาวโลกกว่า 6,000 ล้านคนจะได้บริโภคสินค้าโภคภัณฑ์ดีๆ จากรัสเซีย
นั่นจึงเป็นที่มาของรายงานจากศูนย์วิจัยพลังงานและอากาศบริสุทธิ์ (CREA) ที่มีที่ตั้งอยู่ในชาติรัฐบอลติก ระบุว่าแค่เวลา 6 เดือนถึง ส.ค.ปีนี้ การส่งออกเฉพาะเชื้อเพลิงน้ำมัน ก๊าซ สร้างกระแสเงินจากทั้งโลกไหลไปท่วมคลังของรัฐบาลสหพันธรัฐรัสเซียมากมายมหาศาลกว่า 9,480,000 ล้านรูเบิล (158,000 ล้านดอลลาร์)
โดยในจำนวนพลังงานน้ำมัน และก๊าซ ทั้งหมดนี้มีสัดส่วนราว 53.8% หรือราว 5,106,000 ล้านรูเบิล (85,100 ล้านยูโร) เป็นเงินที่สหภาพยุโรป แย่งทวีปอื่นตัดหน้าจ่ายนำเข้าพลังงานจากรัสเซีย ไม่นับรวมมูลค่าสินค้ารัสเซียส่งออกอีกนานาชนิดอีกหลายพันรายการไปทั่วโลก ไม่เว้นแม้แต่ท่าเรือสหรัฐ ที่แน่นขนัดด้วยสินค้ารัสเซียกว่า 2,600 รายการ เป็นหลักฐานว่า ยุโรป ไม่มีศักยภาพมาตรการคว่ำบาตรอะไรตามที่ประโคมข่าวใหญ่โตฮึกเหิม
ส่วนจีน ซื้อพลังงานรัสเซียเป็นอันดับ 2 ที่ 34,900 ล้านยูโร และตุรกีที่ 10,700 ล้านยูโร พลังงานที่เหลือก็กระจายไปอินเดีย อียิปต์ ซาอุฯ และทั่วโลก ดังนั้นยิ่งยุโรปประกาศคว่ำบาตรรัสเซียมากเท่าใด รัสเซียก็จะยิ่งส่งออกน้ำมัน ก๊าซไปให้ทวีปอื่นเป็นยี่ปั้ว ส่งผลให้ตลาดก๊าซในยุโรปปั่นป่วนขาดแคลนสินค้า ย่อมทำให้รัสเซีย ยี่ปั้วจีน สหรัฐ สามารถควบคุมตลาดบีบราคาก๊าซยุโรปสูงขึ้นไปเรื่อยๆ ตามหลักเศรษฐศาสตร์ที่ Demand ความต้องการ มีมากกว่า Supply สินค้าจำเป็น
ผลคือ รัสเซีย ก็จะดูดเงินในคงคลังงบประมาณชาติในยุโรป ผันมาเข้าคลังของตนเองหนักทวีคูณขึ้น กำไรมากขึ้น ในทางกลับกันคลังยุโรปแต่ละชาติจะร่อยหรอลงจนถังแตก เพราะต้องควักออกไปจ่ายตามมาตรการเยียวยาประชาชนคนชั้นกลางและผู้ใช้แรงงานที่เป็นคนส่วนใหญ่ของสังคมที่ทุกข์ทรมานจากค่าครองชีพสูงจนสิ้นแรงไป”