“ทิศทางไทย”แจงละเอียดยิบเยียวยา5,000บาท ขาดประสิทธิภาพ ไร้แผนงาน

0

ดูให้จะๆ “ทิศทางไทย”แจ้งละเอียดยิบเยียวยาเงินเยียวยา5,000บาท ผู้รับผลกระทบโควิด-19ขาดประสิทธิภาพ ไร้แผนงาน

อลหม่าน​ คลังชดเชย​ 5,000​ สะท้อนมาตรการที่ขาดแผนงาน​ ทำงานแบบราชการไร้ระบบ​ ซ้ำซ้อน​ ​ ประชาชน-ประเทศชาติคือผู้รับเคราะห์​

ดร.เวทิน​ ชาติกุล​ สถาบันทิศทางไทย

1.​การออกมาตรการเยียวยา​ “เราไม่ทิ้งกัน” ให้ผู้มีอาชีพอิสระ​ ลูกจ้างรายวัน​ หรือ ผู้ประกอบการรายย่อยที่ได้รับผลกระทบจากการแพร่ระบาดของเชื้อโควิด​-19​ และ​คำสั่ง​ Lockdown​ ในหลักการถือเป็นเรื่องที่ถูกต้อง​และจำเป็นอย่างยิ่ง​

2.แต่มาตรการและการดำเนินการที่ออกมา​ ตั้งแต่วันที่​ 24​ มี.ค.​ ถึง​ วันที่​ 9​ เม.ย.​ นับเป็น​ 17​ วันแห่งความวุ่นวาย​และสับสนอลหม่านนับตั้งแต่​การไม่เตรียมความพร้อมเรื่องคนแห่มาเปิดบัญชีหน้าธนาคารโดยไม่รักษาระยะห่าง​ ระบบล่ม​  จำนวนคนที่มาลงทะเบียนเกินกว่าจำนวนเงินที่เตรียมไว้​  รวมถึงความไม่พร้อมเรื่องการคัดกรอง การออกมาให้คนถอนการลงทะเบียน​นโยบาย​ “ชักเข้าชักออก“จนถึงสุดท้ายคือมีคนที่ไม่สมควรจะได้เงิน​ชดเชย​

3.มาย้อนดูไทมไลน์​​ จาก​ “เราไม่ทิ้งกัน” มาถึง​ “เราเละด้วยกัน”

  • 4 มี.ค.2563  นายอุตตม สาวนายน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง เปิดเผยว่า ในวันที่ 6 มี.ค.นี้ กระทรวงการคลังจะเสนอ​ ครม.​ พิจารณามาตรการและแผนเยียวยาผลกระทบ​ Covid-19​ ชุดที่ 1 โดยการโอนเงินผ่านระบบพร้อมเพย์ให้ประชนผู้มีรายได้น้อย ผู้ประกอบอาชีพอิสระ และเกษตรกรรายละ 1,000-2,000 บาท​ แต่ถูกคัดค้านจากสังคมอย่างหนักจนต้องยกเลิก
  • 24​ มี.ค.​2563 นาย​สมคิด จาตุศรีพิทักษ์ รองนายกรัฐมนตรี​ แถลงครม.​อนุมัติมาตรการระยะที่ 2 ให้แก่ประชาชนที่เป็นแรงงานนอกระบบประกันสังคม ทั้งแรงงานลูกจ้าง ลูกจ้างชั่วคราว และอาชีพอิสระ สนับสนุนเงินเลี้ยงชีพเดือนละ 5 พันบาท เป็นระยะเวลา 3 เดือน
  • 27​ มี.ค.2563​  ประชาชนจำนวนมากแห่ไปต่อคิวเพื่อรอเปิดบัญชีเงินฝาก​ โดยไม่สวมหน้ากากและไม่มีการรักษาระยะห่าง
  • 27​ มี.ค.2563​ นายอุตตม​ สาวนายน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง ระบุว่า​ ผู้ที่ผ่านเกณฑ์จะมีทั้งสิ้นประมาณ 3 ล้านคน ซึ่งหากมีคนที่มีคุณสมบัติมากกว่า 3 ล้านคน กระทรวงการคลังพร้อมที่จะจัดสรรงบประมาณต่อไป
  • 28-29​ มี.ค.​2563​ ธนาคารปิด เพื่อป้องกันประชาชนแห่เปิดบัญชี
  • 28​ มี.ค.2563​ ระบบล่มทันทีในชั่วโมงแรกที่เปิดให้ลงทะเบียน​จนต้องปิดชั่วคราว​  เมื่อกลับมาใช้การได้มีประชาชน​ลงทะเบียน​ “เราไม่ทิ้งกัน”  วันแรก​กว่า 10​ ล้านราย
  • 29​ มี.ค.​2563  ม.ร.ว.จตุมงคล โสณกุล รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน ถกด่วนเยียวยาผู้อยู่ในระบบประกันสังคม​ ม.39​ ม.40​ เดือนละ 5,000 บาท​ (ที่มีอยู่ประมาณ​ 5​ ล้านคน)​
  • 31 มี.ค.2563​ ครม.ขยายสิทธิแจกเงิน 5,000 บาท จาก 3 ล้านคน เป็น 9 ล้านคน
  • 1​ เม.ย.​2563​ จำนวนผู้ลงทะเบียนในระบบมีสูงถึง​ 24​ ล้านคน
  • 3​ เม.ย.2563​ กระทรวงการคลังเคาะ4อาชีพได้เงิน5,000บาทแน่นอน (มัคคุเทศก์ คนขับรถแท็กซี่ ผู้ค้าสลาก และวินมอเตอร์ไซค์รับจ้าง)
  • 4​ เม.ย.2563​ กระทรวงการคลังเปิดให้แจ้งขอยกเลิกการลงทะเบียนเยียวยา จำนวน 5,000 บาท
  • 6 เม.ย.2563​ ศบค.ขอคนไม่ตรงเกณฑ์รับ 5,000 บาท ถอนชื่อออก เตือนข้อมูลเท็จผิด พ.ร.บ.คอมพ์
  • 6 เม.ย.2563​ กระทรวงการคลังเผย 10 กลุ่ม “คนที่ไม่ผ่านเกณฑ์”
  • 7 เม.ย.2563​ นายอุตตมะ​ สาวนายน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง ​แถลง​ครม.อนุมัติ จ่ายเงินเยียวยา “เราไม่ทิ้งกัน” 5,000 บาท เพิ่มเป็น 6 เดือน หรือให้เงินเยียวยาจนถึงเดือนก.ย. 2563
  • 8 เม.ย.​2563​ กระทรวงการคลังเริ่มทำการจ่ายเงินให้กับผู้ลงทะเบียนแล้วในวันที่ 8 เม.ย. 2563 เป็นต้นไป
  • 8 เม.ย. ปรากฏข่าวผู้ที่ไม่สมควรได้เงินชดเชยจำนวนมากจนกลายเป็นเสียงวิพากษ์วิจารณ์​ถึงระบบการคักกรองและตรวจสอบ​
  • 9.​ เม.ย.​2563​ นายอุตตมะ​ สาวนายน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง เปิดเผยว่า ถ้าสถานการณ์จบก่อนก็อาจจะจ่ายชดเชยไม่ครบ​ 6​ เดือน​

4.การออกมาตรการอย่างหนึ่งอย่างใด​ที่มีการเตรียมแผนการรองรับไว้ล่วงหน้า​ซึ่งจากการตั้งข้อสังเกต ถ้ามีเตรียมพร้อมทั้งข้อมูล​งบประมาณ​และการปฏิบัติการต่างๆรองรับไว้​จะไม่ทำให้เกิดปัญหาและความวุ่นวายสับสนที่ตามมา​ดังที่ปรากฏ​

5.ข้อสังเกตเรื่องการเพิ่มจำนวนผู้ได้รับความช่วยเหลือ

5.1​ ข้อมูลจากการแถลงของกระทรวงการคลัง นาย​สมคิด จาตุศรีพิทักษ์ ออกมาแถลงว่าเบื้องต้นจะชดเชยในกลุ่ม​ ลูกจ้างชั่วคราว​ อาชีพอิสระ​ 3​ ล้านคน​ (โดยไม่ได้มีรายละเอียดว่าตัวเลขนี้มาจากไหน)​  แต่เมื่อมีคนมาลงทะเบียนมากถึง​ 24​ ล้านคน​ ก็ได้ขยายจำนวนเพิ่มเป็น​ 9​ ล้านคน​ ซึ่งได้เพิ่มจำนวนผู้ที่มีชื่ออยู่ในระบบประกันสังคมตาม​ ม.39​ และ​ ม.40​ ประมาณ​ 5​ ล้านคนไปด้วย​

5.2​ ซึ่งในความเป็นจริงแล้วคนกลุ่มนี้​ 5​ ล้านคนมีชื่ออยู่ในระบบประกันสังคมอยู่แล้ว​ ทำไมถึงไม่ชดเชยผ่านระบบประกันสังคมไปเลย​ จะให้ประชาชนกลุ่มนี้มาลงทะเบียนผ่านเว็บไซด์เราไม่ทิ้งกันอีกทำไม​

6.​ข้อสังเกตเรื่องตัวเลขผู้ได้รับความช่วยเหลือ

6.1 ข้อมูลของ​นายลวรณ แสงสนิท ผู้อำนวยการสำนักงานเศรษฐกิจการคลัง (สศค.) ได้เปิดเผยว่าตัวเลข 3 ล้านคนไม่ได้มั่ว แต่มีที่มาโดยกล่าวว่า “…ประชากรในประเทศมีจำนวน 66 ล้านคน  ตัดเด็กและผู้สูงอายุ 11 ล้านคน เหลือแรงงาน 44 ล้านคน ในจำนวนนี้แบ่งเป็นแรงงานที่มีงานทำ 38 ล้านคน เหลือ 6 ล้านคนคือคนที่ไม่มีงานทำ ตกงาน หรือเรียนหนังสืออยู่… และในจำนวน 38 ล้านคน ตัดคนที่เป็นเกษตรกรออก 17 ล้านคน อยู่ในประกันสังคม 16 ล้านคน และเป็นข้าราชการอีก 2 ล้านคน ฉะนั้นก็จะเหลือคนที่คลังจะเข้าไปช่วยเหลือเบื้องต้น 3 ล้านคน…”

6.2 จากการตรวจสอบข้อมูลเบื้องต้น​นั้นพบว่า​ในจำนวนประชากรไทยในปี​ 2562​ จำนวน​ 66.7 ล้านคน​ มีอายุต่ำกว่า​ 15​ ปี​ (เด็ก,เด็กเล็ก)​9.8 ล้านคน​ มีผู้อยู่ในช่วงอายุ​15-22​ ปี​ 6.8​ ล้านคน​ อยู่ในช่วงอายุ​ 22-60​ ปี​ (วัยทำงาน)​ 37.9​ ล้านคน​และ ผู้มีอายุเกิน​ 60​ ปี​ 10.3​ ล้านคน​

6.3 สำนักงานสถิติแห่งชาติ​ระบุว่า​ (เดือน​ ก.พ.2563)​ ประชากรผู้ที่อยู่ในกำลังแรงงาน​ (15​ ปีขึ้นไป)​ มีจำนวน​ 56.7 ล้านคน​ โดยมีผู้ที่ทำงานอยู่ในระบบ​ 38.4​ ล้านคน​  มีผู้อยู่นอกระบบแรงงาน(แม่บ้าน​/นักเรียน/คนชรา)​ 18.34 ล้านคน

6.4 โดยผู้ที่ทำงานอยู่ในระบบ​ 38.4​ ล้านคน​  จำนวนนี้​มีงานทำ​ 37.63 ล้านคน​ โดยแบ่งเป็น​ผู้ทำงานในภาคบริการและการค้า​ 18.08 ล้านคน​  ผู้ทำงานในภาคการผลิต​ 9.03 ล้านคน​  ผู้ทำงานในภาคเกษตรกรรม​ 10.52 ล้าน​ ผู้รอฤดูกาล​ 0.36 ล้านและผู้ว่างงาน​ 0.42 ล้าน

6.5​ ส่วนผู้ที่อยู่ในระบบราชการ​และรัฐวิสาหกิจ มี​ 2.2​ ล้านคน​ โดยเป็น​ข้าราชการพลเรือน/ลูกจ้างรัฐ​ 1.3​ ล้านคน​  ตำรวจ​ 0.21 ล้านคน​ ทหาร​ 0.30 ล้านคน​ ข้าราชการบำนาญ​ 0.65​ ล้านคน​ พนักงานรัฐวิสาหกิจ​ 0.27 ล้านคน​ (ซึ่งไม่ทราบว่าจำนวนข้าราชการ​ 2.2​ ล้านคนนี้รวมอยู่ใน​ผู้อยู่ในกำลังแรงงาน​ 38.4​ ล้านคนแล้วหรือไม่?)​

6.6​ โดยในส่วนของผู้ที่อยู่ในกำลังแรงงาน​ 38.4​ ล้านคนนั้น​เป็นผู้อยู่ในระบบประกันสังคม​ 16.74 ล้านคน​โดยเป็นผู้อยู่ในมาตรา33​ 11.7 ล้านคน​ อยู่ในมาตรา​ 39​ จำนวน 1.65 ล้านคน​ และอยู่ในมาตรา​ 40​ 3.33 ล้านคน

6.7 จะเห็นว่า​มีกลุ่มที่อยู่นอกสารบบการเยียวยาคือกลุ่มที่เป็นภาระพึ่งพาครอบครัวประมาณ​ 27.9 ล้านคน​ แบ่งเป็น..

  1. ​ กลุ่มเด็ก-เด็กเล็ก​ (ผู้มีอายุต่ำกว่า​ 15​ ปี)​ 9.8 ล้านคน
  2. ​ แม่บ้าน​ (5​ ล้านคน)
  3. ​นักเรียน​-นักศึกษา​ (4.42 ล้านคน)
  4. ​ ผู้ชราและผู้อยู่นอกระบบแรงงานอื่นๆ​ (8.7​ ล้านคน)

6.8​ นอกจากนี้ยังมีกลุ่มที่ไม่อยู่ในระบบประกันสังคม​ (เกษตรกร+ผู้ไม่มีประกันสังคม)​ซึ่งไม่สามารถระบุจำนวนที่ชัดเจนได้เพราะตัวเลขของทางราชการเองไม่ตรงกัน​ คือ

6.9 ผู้อยู่ในกำลังแรงงาน​  ตัวเลขของนายลวรณ​ อยู่ที่​ 44​ ล้านคน​ แต่ตัวเลขของสำนักงานสถิติแห่งชาติอยู่ที่​ 56.7 ล้านคน​ (ถ้าหักผู้ที่มีอายุเกิน​ 60​ ปีจำนวน​ 10.3​ ล้านคนออก​ ก็จะเหลือ​ 46.4 ล้านคน)​

6.10 ตัวเลขอีกตัวที่ต่างกันก็คือจำนวนผู้อยู่ในระบบแรงงานในภาคเกษตรกร​  ตัวเลขของนายลวรณระบุเกษตรกรมีจำนวน​ 17​ ล้านคน​ แต่ตัวเลขของสำนักงานสถิติแห่งชาติอยู่ที่​ 10.52​ ล้านคน​ถ้าตัวเลขของนายลวรณจริงตัวเลขของแรงงานในภาคบริการและภาคอุตสาหกรรมก็ต้องกระทบใหม่หมด​ (ตัวเลขนี้อาจจะปรากฏเป็นประเด็นอีกครั้งในมาตรการช่วยเหลือเกษตรกรที่ยังไม่ออกมา)​

6.11 เมื่อเอาตัวเลขผู้อยู่ในกำลังแรงงานหักลบออกจากจำนวนผู้อยู่ในระบบราชการและระบบประกันสังคม​ (38.4-2.2-16.74)​ จะได้​ ตัวเลขผู้ไม่อยู่ในระบบประกันสังคม​ 19.46 ล้านคน​  ถ้ายึดตัวเลขจำนวนเกษตรกรนี้ตามนายลวรณคือ​ 17​ ล้านคน​ จะได้ผู้เป็นแรงงานอิสระ​ 2.46 ล้านคน​ (ใกล้เคียงกับตัวเลขผู้ประกอบอาชีพอิสระที่คลังประเมินเบื้องต้นไว้คือ​ 3​ ล้าน)​

6.12 แต่ถ้ายึดตัวเลขจำนวนเกษตรกร​ที่​ 10.5​ ล้านคน​ ตามสำนักงานสถิติแห่งชาติ​ จะได้ตัวเลขผู้มีอาชีพอิสระ​ ถึง​8.96 ล้านคน​ มากกว่าที่คลังประเมินเบื้องต้นเอาไว้​ถึง 3​ เท่า)​

6.13ตัวเลขที่ไม่ตรงกันของทางราชการนี้สะท้อนว่าแต่ละหน่วยงานราชการต่างมีข้อมูลที่ไม่สอดคล้องกันอยู่ส่วนหนึ่ง (มีบางส่วนที่สอดคล้องกัน)​ ควรที่ผู้เกี่ยวข้องต้องนำข้อมูลมา​สังเคราะห์ก่อนที่จะทำแผนออกมา​ เพื่อให้มาตรการและการดำเนินการนั้นมีความใกล้เคียงกับความเป็นจริงมากที่สุด

6.14 รวมถึงต้องเอาตัวเลขแต่ละส่วนมาสังเคราะห์ในแนวตั้ง เพราะในแต่ละกลุ่มนั้นได้รับความเดือดร้อนและได้รับผลกระทบต่างกัน​ เช่น​ พนักงาน​ กับ​ ผู้บริหาร​ มีจำนวนที่ต่างกัน​ มีผลกระทบไม่เท่ากัน​ และมีความเดือดร้อนคนละแบบกัน​หรือ​ผู้ประกอบการภาคบริการ​ท่องเที่ยว​ กับผู้ประกอบการภาคอุตสาหกรรมอาหาร​ ก็ได้รับผลกระทบไม่เท่ากัน​ หรือ​ ข้าราชการระดับสูงอาจไม่ได้รับผลกระทบเพราะไม่ถูกลดเงินเดือน​ แต่ข้าราชการและลูกจ้างรัฐฯในระดับล่างแม้จะไม่ถูกพักงานหรือออกจากงานแต่ก็อยู่ในกลุ่มที่มีภาวะหนี้สินมากอยู่แล้ว​เป็นต้น

7.ข้อสังเกตเรื่องเกณฑ์ของผู้ได้รับชดเชยหรือไม่ได้​

7.1 เกณฑ์ของผู้สมควรได้รับชดเชยนั้นควรถูกกำหนดเอาไว้ตั้งแต่แรก​ มิใช่ค่อยมาบอกภายหลัง​จากเมื่อมีคนที่มาลงทะเบียนเป็นจำนวนมหาศาล​ จนถึงต้องมีการประกาศของให้ผู้ไม่เข้าเกณฑ์ถอนการลงทะเบียนของตนเสียก่อนจะมีความผิดทางกฏหมาย​ (มีผู้ถอนการลงทะเบียนประมาณ​ 5​ แสนคน​ จาก​ 24​ ล้านคน)​ ซึ่งเกณฑ์ต่างๆที่กระทรวงการคลังค่อยๆระบุออกมา​เป็นดังนี้

27​ มี.ค.2563​ นายอุตตม​ สาวนายน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง กล่าวว่า​ “…ตอนนี้ประมาณการว่า​ ​”ผู้ที่ผ่านเกณฑ์” จะมีทั้งสิ้นประมาณ 3 ล้านคน ซึ่งหากมีคนที่มีคุณสมบัติมากกว่า 3 ล้านคน กระทรวงการคลังพร้อมที่จะจัดสรรงบประมาณต่อไป…” (แต่ตอนนั้นยังไม่มีใครรู้เลยว่าเกณฑ์มีอะไรบ้างจนกระทั่งวันที่​ 2​ ถึงมีเกณฑ์เบื้องต้นประกาศออกมา)​

กรณีมีการแชร์ข้อความว่า​ เกษตรกร ผู้สูงอายุ และผู้ถือบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ ไม่มีสิทธิ์ได้รับเงินเยียวยา นายอุตตม สาวนายน ยืนยันว่า ประกาศดังกล่าวไม่ใช่ประกาศจากทางธนาคารโดยตรง​ จนเป็นข่าวว่า​ “อุตตม พูดเอง ถือบัตรคนจน-ประกอบอาชีพอิสระ มีสิทธิ์ได้เงินเยียวยา 5,000” (เว็บไซด์​ Kapook)​

31​ มี.ค.2563​ นายลวรณ​ ระบุว่ากลุ่มที่ไม่ได้ชดเชย​ ไม่ผ่านเกณฑ์คือ

  1. ผู้ที่​ Work​ From​ Home​ แต่ยังได้เงินเดือนครบ
  2. ​ผู้ที่ยังทำงานแต่ได้เงินเดือนครบ
  3. ผู้ตกงานมานานหรือตกงานเป็นปี
  4. ​ผู้ทำงานในร้านที่ปิดกิจการก่อนการระบาดของเชื้อโควิด-19

2​ เม.ย.​2563 คลังประกาศ​ 4​ อาชีพผ่านคัดกรองเบื้องต้น

  1. ​มัคคุเทศน์
  2. คนขีบแท็กซี่
  3. ผู้ค้าสลาก
  4. วินมอเตอร์ไซด์

โดยเกณฑ์ผู้ที่จะไม่ได้รับเงินชดเชยปรากฏขึ้น​ 1​ วันก่อนระบบจะโอนเงิน​

7​ เม.ย.2563​ นายลวรณกล่าวในรายการ​ “ห้องข่าวเศรษฐกิจ” ระบุว่าผู้ไม่ได้รับเงินมี​ 10​ กลุ่ม​ คือ​

  1. อายุต่ำกว่า 18 ปี​ ยังไม่อยู่ในวัยทำงาน
  2. คนที่ว่างงานอยู่แล้ว ไม่ใช่กลุ่มแรงงาน ลูกจ้าง หรืออาชีพอิสระที่เดือนร้อนจากโควิด-19 เช่น ถูกเลิกจ้าง ถูกลดเงินเดือน หรือสถานประกอบการถูกปิด
  3. ผู้รับบำนาญ
  4. ​ข้าราชการ
  5. ​ผู้ได้รับเงินชดเชยกรณีว่างงานจากประกันสังคม
  6. นักเรียน/นักศึกษา  ไม่ใช่กลุ่มแรงงาน หากมีหนี้ กยศ. จะได้รับการหักหนี้หลายล้านคน
  7. ​เกษตรกร : รัฐให้ความช่วยเหลือเยียวยาผลกระทบ โควิด-19 ระยะที่ 3 อยู่แล้ว
  8. ผู้ค้าขายออนไลน์
  9. คนงานก่อสร้าง เพราะการก่อสร้างยังไม่ถูกระงับ
  10. โปรแกรมเมอร์

​7.2​ แต่หลังจากที่เริ่มมีการโอนเงิน​ และเกิดปัญหา​ว่ามีผู้ได้ที่ไม่สมควรได้​ และได้แสดงผ่านโซเซียลมีเดียว่าจะนำเงินชดเชยที่ได้ไปใช้ในทางสิ้นเปลืองไม่ใช่บรรเทาความเดือดร้อน​  ทางกระทรวงการคลังจึงได้เผยอาชีพที่ผ่านเกณฑ์โดยเป็นการสังเคราะห์จากฐานข้อมูล​ 24​ ล้านคน​ที่เพิ่งได้มาในระบบ​ ซึ่งบางกลุ่มก็เพิ่งปรากฏขึ้นใหม่​ เช่น​ กลุ่มรับจ้างทั่วไป, กลุ่มค้าขาย, กลุ่มที่มีนายจ้าง​ เป็นต้น​ (ซึ่งเป็นการระบุที่กว้างมาก)​

8​ เม.ย.​2563 นายลวรณเปิดเผยผู้ผ่านเกณฑ์ได้รับชดเชยรอบแรก​

  1. กลุ่มรับจ้างทั่วไป ลงทะเบียน 11.7 ล้านคน/ผ่านเกณฑ์แล้ว 4 แสนคน
  2. กลุ่มค้าขาย ลงทะเบียน 6.3 ล้านคน/ผ่านเกณฑ์ 6 แสนคน
  3. กลุ่มที่มีนายจ้าง ลงทะเบียน 1.9 ล้านคน/ผ่านเกณฑ์ 4 แสนคน
  4. กลุ่มขับรถรับจ้าง ลงทะเบียน 3 แสนคน/ผ่านเกณฑ์ 1 แสนคน
  5. กลุ่มผู้ค้าสลาก ลงทะเบียน 2 แสนคน/ผ่านเกณฑ์ 2 หมื่นคน
  6. มัคคุเทศก์ ลงทะเบียน 3 หมื่นคน/ผ่านเกณฑ์ 1 หมื่นคน
  7. อาชีพอิสระอื่นๆ ลงทะเบียน 1.7 ล้านคน/ผ่านเกณฑ์ 1 แสนคน

รวมถึงระบุว่า​ กลุ่มผู้ค้าออนไลน์ พบว่ามาลงทะเบียน 2.1 ล้านคน​ ไม่ผ่านเกณฑ์​ และ​กลุ่ม​รับจ้าง(แรงงานก่อสร้าง)

8.​ ข้อสังเกตเรื่องระยะเวลาที่ให้การเยียวยา

27​ มี.ค.2563​ นายอุตตม​ สาวนายน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง กล่าวว่า​“…ตอนนี้ประมาณการว่า ผู้ที่ผ่านเกณฑ์จะมีทั้งสิ้นประมาณ 3 ล้านคน ซึ่งหากมีคนที่มีคุณสมบัติมากกว่า 3 ล้านคน กระทรวงการคลังพร้อมที่จะจัดสรรงบประมาณต่อไป…” (ตอนนั้นยังไม่ชัดเจนว่าเกณฑ์มีอะไรบ้าง​ นายอุตตมจะรู้ได้อย่างไรว่ามีคนผ่านเกณฑ์​ 3​ ล้านคน)​

7 เม.ย. 2563 นายอุตตม สาวนายน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง กล่าวว่า มาตรการดูแลระยะที่ 3 ทางครม.​เห็นชอบให้ขยายการเยียวยาประชาชนในกลุ่มลูกจ้างใช้แรงงาน ผู้ประกอบอาชีพอิสระ โดยการจ่ายเงินเดือนละ 5,000 บาท เป็นระยะเวลา 3 เดือน เพิ่มเติมจากมาตรการที่กำลังดำเนินการอยู่แล้ว รวมเป็น 6 เดือน หรือจนให้เงินเยียวยาจนถึงเดือน กันยายน 2563​ (โดยขยายวงเงินเยียวยาเฟส​ 3​ เป็นจำนวนเงิน​ 1.9 ล้านล้านบาท)​

9​ เม.ย.2563​ นายอุุตตม สาวนายน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง โพสต์เฟสบุ๊คระบุ​ “… ระยะแรก จึงจะมีการเยียวยาในช่วง 3 เดือนก่อน ส่วนหากสถานการณ์ยังไม่ดีขึ้น ก็สามารถขยายระยะเวลาเพิ่มเติมได้อีกตามความเหมาะสม ในทางกลับกันหากสถานการณ์จบก่อน ก็สามารถยุติการเยียวยาได้เช่นกัน…”

8.1​ ทั้งนี้นายอุุตตม สาวนายน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง ​ให้เหตุผลว่า​ “…เป็นเรื่องของการตั้งกรอบเวลาในการเยียวยาเอาไว้​ เนื่องจากเรายังไม่รู้ว่าสถานการณ์การระบาดของเชื้อโควิด-19​จะสิ้นสุดลงเมื่อไหร่…”

8.2​ แต่ในวันที่​ 7​ เม.ย.ที่มีการประกาศว่าจะยืดเวลาเยียวยาไปอีก​ 3​ เดือนเป็น​ 6​ เดือน​ วันนั้น​ ครม.รับทราบการปรับการเปิดเทอมปีการศึกษา 2563 โดยให้สถานศึกษาเลื่อนการเปิดภาคเรียนที่หนึ่ง ปีการศึกษา 2563 จาก 16 พ.ค.63 เป็น 1 ก.ค. 63​ ซึ่งแสดงว่าถ้าโรงเรียนสามารถเปิดได้​ในเดือนก.ค.ก็ต้องแสดงว่า​ครม.ต้องพิจารณาแล้วว่าในเดือน ก.ค. ต้องควบคุมสถานการณ์การแพร่ระบาดได้หมดแล้ว​ ซึ่งเป็นเวลาเพียง​ 4​ เดือน​ (เม.ย-ก.ค)​ เท่านั้น​ ถ้าเป็นเช่นนี้ทำไมในวันเดียวกันนายอุตตมถึงเสนอว่าจะยึดเวลาเยียวยาไปอีก​ 6​ เดือน

9.​ข้อสังเกตเรื่องระบบ​ AI​ และความโปร่งใสของข้อมูลคนไทย​ 24​ ล้านคน​ที่เอกชนอาจได้ประโยชน์จาก Big​ Data ตัวเลขของผู้ได้รับการเยียวยาที่เพิ่มขึ้นมา​ 6​ ล้านคน​ คือตัวเลขของผู้อยู่ในระบบประกันสังคม​ ตาม​ ม.39​ และ​ ม.40​ อยู่แล้ว​ คำถามคือ​จะให้ประชาชนกลุ่มนี้มาลงทะเบียนให้ซ้ำซ้อนทำไม?

9.1 แต่การลงทะเบียนในส่วน​ของเว็บไซด์​ “เราไม่ทิ้งกัน” ที่มีมากอย่างไม่คาดคิด​ถึง​ 24​ ล้านคนนี้กลับเป็น​ Big​ Data​ ชั้นดีที่จะเอาไปทำอะไรก็ได้​ ในยุคที่​ “ข้อมูลคืออำนาจ”  คำถามคือมีความโปร่งใสเรื่องข้อมูลและความปลอดภัยที่รัฐต้องเป็นผู้รับผิดชอบต่อประชาชนหรือไม่? โดยเฉพาะเมื่อปรากฏ ชื่อบริษัทเอกชน​ (คือ​ บ.ไอทีเอ็มเอ๊กซ์​ จำกัด)​ อยู่ในเงื่อนไขที่ประชาชนต้องยินยอมในการลงทะเบียนเพื่อของรับเงินชดเชย

9.2 นอกจากนี้ยังมีข้อสังเกตเรื่องการทำงานของระบบ​ AI​ ที่ไม่สามารถคัดกรองได้อย่างมีประสิทธิภาพจริงๆ​ ดังที่สถาบันทิศทางไทยได้เคยตั้งข้อสังเกตเอาไว้ล่วงหน้าแล้วว่าเป็นไปได้ที่ AI​ ในระบบนี้น่าจะเป็นแค่การจับ Matching คำเหมือนที่ปรากฏอยู่ในฐานข้อมูลเท่านั้น​ ไม่ใช่​ AI​ ที่มีความสามารถแยกแยะข้อมูลจริง/เท็จได้​ ​ (“ผ่าระบบ AI ทำงานแบบไหน? จะคัดกรองคนได้รับ 5,000 จาก 20 ล้านคนให้เหลือ 9 ล้านคนอย่างไร?” https://thaimoveinstitute.com/4149/ สถาบันทิศทางไทย.3​ เม.ย.2563)​ ในส่วนนี้มีการดำเนินการกันอย่างไร? ​ ใครเป็นผู้รับผิดชอบ? ​ และมีค่าจ้างเป็นเงินเท่าไหร่?

10​ สรุป : มีหลายคนเชื่อว่าเงินของแผ่นดินนี้ทุกบาททุกสตางค์คือเงินศักดิ์สิทธิ์​

10.1 มาตรการชดเชย​ 5,000​ บาท​ ในงบประมาณ​ 2.7 แสนล้าน​ เป็นเพียงหนึ่งในมาตรการเยียวยาในระยะที่​ 2​ เท่านั้น​ ซึ่งจะมีมาตรการในระยะที่​ 3​ และระยะที่​ 4​ ตามมา​ในวงเงินที่ครม.อนุมัติไปแล้ว​คือ​ 1.9 ล้านล้านบาท​ ที่แบ่งออกเป็น​ 3​ ก้อนคือ​

  • พ.ร.ก.ให้อำนาจธนาคารแห่งประเทศไทยออก​ soft loan ดูแลภาคธุรกิจ​ SME​s​ งบประมาณ​ 5​ แสนล้าน
  • พ.ร.ก.​ดูแลเสถียรภาพภาคการเงิน​ งบประมาณ​ 4​ แสนล้าน
  • พ.ร.ก.กู้เงินและเยียวยาเศรษฐกิจ​ (1​ ล้านล้าน)​ ใช้ใน

ก.) ​แผนงานด้านสาธารณสุขและแผนงานผู้ที่ได้รับผลกระทบ​ (เยียวยา​ 6​ เดือน / เยียวยาเกษตรกร / ดูแลด้านสาธารณสุข)​ 6​ แสนล้าน​

ข)​แผนงานฟื้นฟูเศรษฐกิจและสังคม​ (ครอบคลุมโครงการดูแลสนับสนุนเศรษฐกิจในพื้นที่)​ 4​ แสนล้าน

(มีข้อสังเกตว่า​ ก่อนหน้านี้มีรายงานให้แต่ละกระทรวงไปลดงบประมาณของตนลงเพื่อเอาเงิน​ 6.6​ แสนล้านมาเข้าในงบช่วยเหลือเยียวยา​ ซึ่งไม่รู้ว่างบในส่วนนี้อยู่ตรงไหนหรือระยะไหนของมาตรการเยียวยา)​

10.2 จะเห็นว่าแค่​ งบ​ “เราไม่ทิ้งกัน” เยียวยา​ 5,000​ เป็นเวลา​ 6​ เดือน​ ก็เป็นจำนวนเกือบ​ 50% ของงบก้อนแรกในส่วนนี้แล้ว​ แต่การดำเนินงานที่ผ่านมานั้นกลับเป็นไปด้วยความทุลักทุเล สลับสนอลหม่าน​ ซึ่งต้องตระหนักว่าในยามวิกฤติชาติ​​งบประมาณก้อนใหญ่โตขนาดนี้​ไม่ใช่เพื่อผลประโยชน์ของเหลือบทั้งในระบบราชการและเอกชนที่มีสายสัมพันธ์กับผู้มีอำนาจจะมาเกาะกิน​ หรือ มุ่งใช้เพื่อสร้างฐานความนิยมทางการเมืองของใครหรือพรรคหนึ่งพรรคใด​  แต่ต้องใช้เพื่อช่วยเหลือประชาชนผู้ทุกข์ร้อนจริงๆ​ในสถานการณ์วิกฤติเช่นนี้

10.3​ และถ้าจะเปรียบเทียบก็เป็นวงเงินที่ใกล้เคียงกับเงินที่เสียหายจากการทุจริตโครงการรับจำนำข้าว​ 4​ แสนล้าน​  ในที่นี้แม้ยังไม่มีการทุจริต​ แต่การทำงานที่ปราศจากแผนงานก็คือการซ้ำเติมประชาชนและประเทศชาติในรูปแบบหนึ่ง

10.4 ดร.สุวินัย ภรณวลัย​ ประธานยุทธศาสตร์วิชาการ สถาบันทิศทางไทย​ ได้เขียนข้อความเปิดผนึกผ่านเฟสบุ๊คเมื่อวันที่​ 8​ เม.ย.2563​ ว่า ถึงท่านรัฐมนตรีกระทรวงการคลัง มีคนชายขอบมากมายมหาศาลในประเทศนี้ที่ไม่รู้เรื่อง ไม่รู้จักเครื่องมือและใช้เครื่องมือไม่เป็น​ ในการขอความช่วยเหลือค่าเยียวยาจากผลกระทบโควิด-19 คนพวกนี้ต่างหากที่เดือดร้อนจริงๆ  และเงินแค่ 5,000 บาท สามารถต่อชีวิตของเขาและครอบครัวของเขาได้จริง นี่คือโจทย์ที่กระทรวงการคลังต้องเร่งแก้ไขโดยด่วน โดยศึกษาจากบทเรียนที่มีพวกเศษมนุษย์มาลงทะเบียนเพื่อขอค่าเยียวยา ทั้งๆที่ไม่ได้เดือดร้อนจริง จึงเรียนมาเพื่อโปรดพิจารณา