จุดจบอเมริกาหนีหัวซุกหัวซุน โดนชาวอิรักไล่พ้นปท. ซ้ำรอยครั้งแพ้สงครามอัฟกาฯ-เวียดนาม

0

จากที่วันนี้ 31 สิงหาคม 2565 เพจ World Update ได้ออกมารายงานถึงสถานการณ์ในอิรัก ซึ่งกำลังถูกพูดถึงเป็นอย่างมาก โดยมีความเกี่ยวข้องกับสหรัฐอเมริกา รวมทั้งเรื่องราวบางอย่างที่เผยแพร่อยู่ในขณะนี้ด้วย

ทั้งนี้  เพจ World Update โพสต์ข้อความระบุ ที่มา  cgtn , bbc และ Aljazeera ซึ่งมีเนื้อหาที่น่าสนใจบางส่วนที่ประชาชนทั่วโลกควรรับรู้ดังนี้ “เมื่อ 20 ปีก่อนขณะนั้นชาติตะวันตกฝ่ายระเบียบโลกเก่าเป็นหนี้ค่าน้ำมันอิรักมหาศาล จึงต้องการ ก่อสงครามล้างหนี้ แล้วปล้นชิงทองคำและทรัพยากรพลังงานจากอิรัก

ปี 2002 นาโทนี แบลร์ นายกรัฐมนตรีอังกฤษ ประกาศว่า การปล่อยให้ซัดดัมได้ใช้อาวุธหรือหาอาวุธที่ต้องการมาได้จะเป็นการกระทำที่ไร้ความรับผิดชอบ , จอร์จ ดับเบิลยู บุช ประธานาธิบดีสหรัฐฯ ประกาศว่า ประวัติศาสตร์เรียกร้องให้อเมริกาและพันธมิตรต้องลงมือจัดการซัดดัม

ปี 2020 รัฐสภาอิรัก มีมติเอกฉันท์ให้สหรัฐ ถอนฐานทัพและกำลังทหารพร้อมอาวุธออกจากดินแดนเพราะอิรักมีผู้แทนมาจากการเลือกตั้งแล้ว แต่สหรัฐ ไม่ยอมไปอ้างว่ายังมีการละเมิดสิทธิมนุษยชนชาวเคิร์ดทางเหนือจึงยังคงฐานทัพไว้ปล้น และขโมยน้ำมันรัฐบาลอิรัก โดยไม่จ่ายค่าสัมปทาน และภาษีให้รัฐบาลอิรัก แต่จ่ายเศษเงินให้ชาวเคิร์ด และสนับสนุนอาวุธให้แทน แม้จะมีตัวแทนชาวเคิร์ดอยู่ในรัฐสภาอิรักแล้ว

สหรัฐไม่ยอมไป และพยายามต่อท่อน้ำมันขนส่งไปยังตุรกีเพื่อขโมยน้ำมันไปลงเรือแล้วขนกลับบ้านและไปขาย จึงเกิดกองกำลังต่อต้านสหรัฐ ในอิรักขึ้นโดยการสนับสนุนจากนักรบเฮชบุลเลาะห์ของอิหร่านทั้งกำลังรบและอาวุธ มุ่งใช้ขีปนาวุธ จรวด โดรน ถล่มฐานทัพ ขบวนรถขนส่งโลจิสติกส์ขโมยน้ำมัน และขนอาวุธ ของกองทัพสหรัฐ และกลุ่มติดอาวุธเคิร์ด รวมทั้งถล่มแหล่งขุดเจาะและโรงกลั่นน้ำมันของสหรัฐ ไม่เว้นแต่ละวันจนสหรัฐ เริ่มควบคุมสถานการณ์ไม่ได้

ต่อมา ต.ค.2021 อิรักมีเลือกตั้งใหญ่สมาชิกรัฐสภาแต่ผ่านมา 10 เดือน บรรดาพรรคการเมืองและรัฐสภาก็ยังตกลงโหวตจัดตั้งรัฐบาลผสมเสียงข้างมากไม่ได้ มีแต่รักษาการนายกรัฐมนตรี Mustafa Kadhimi ทำให้ชาวอิรักที่สนับสนุนนาย Moqtada al-Sadr สมาชิกรัฐสภาที่เป็นโปรอิหร่านบุกยึดครองรัฐสภาเป็นเวลาหลายสัปดาห์ เพื่อเรียกร้องให้โหวตตั้งรัฐบาลและผู้นำประเทศที่มีอำนาจเต็ม และสั่งการกองทัพขับไล่กองทัพสหรัฐ ออกไปจากประเทศ

ล่าสุดสถานการณ์ในอิรักเดือดขึ้นเมื่อนาย Moqtada al-Sadr ลาออกจากสมาชิกรัฐสภา ม็อบผู้สนับสนุนจึงบุกยึดทำเนียบประธานาธิบดีในกรุงแบกแดด ทำให้รักษาการนายกรัฐมนตรี Mustafa Kadhimi ได้ประกาศประกาศภาวะฉุกเฉินและเคอร์ฟิวทั่วกรุงแบกแดด สั่งให้กองกำลังความมั่นคงของอิรักเตรียมพร้อมรับการจลาจลและความโกลาหลมากขึ้น

โดยเพิ่มความคุ้มครองให้กับหน่วยงานรัฐบาล ธนาคาร และจะบุกเข้ายึดสถานทูตสหรัฐ และเกิดการปะทะกันระหว่างกลุ่มติดอาวุธที่ภักดีต่อนาย Moqtada al-Sadr และกลุ่มติดอาวุธที่สหรัฐ หนุนหลัง ทำให้กองกำลังความมั่นคงอิรักยิงระเบิดควันใส่แยกกัน  ผลการปะทะกันส่งผลให้เกิดความรุนแรงนองเลือดที่สุดในเมืองหลวงอิรักในรอบหลายปีมีผู้เสียชีวิต 22 ราย

ทำให้นาย Moqtada al-Sadr ออกมาแถลงถ่ายทอดสดทางโทรทัศน์ ขอโทษชาวอิรัก พร้อมสั่งให้ผู้สนับสนุนของเขาหยุดการประทะกันโดยให้ทั้งสองฝ่ายแยกย้ายกันไป

กองทัพสหรัฐ เร่งใช้เฮลิคอปเตอร์อพยพเจ้าหน้าที่สถานทูตหนีตายออกจากพื้นที่มั่นคงเขตสีเขียวใจกลางกรุงแบกแดด ซึ่งเป็นที่ตั้งของอาคารราชการ ภาพทุลักทุเลครั้งนี้ เหมือนคราสหรัฐพ่ายแพ้สงครามเวียดนาม และอัฟกานิสถาน

 

ผ่านมา 19 ปีที่สหรัฐ ยัดเยียดประชาธิปไตยให้ชาวอิรัก ถล่มด้วยอาวุธเสียชีวิตไปหลายแสนคน โค่นล้มรัฐบาลซัดดัม ฮุสเซน แต่จนถึงบัดนี้อิรัก ยังไม่สงบ ขาดความสามัคคีน้ำหนึ่งใจเดียวกันขับไล่ต่างชาติ เกิดความวุ่นวายชิงอำนาจกันเองและอ่อนแอ

 

นี่คือประชาธิปไตยที่สหรัฐต้องการยัดเยียดให้ซีเรีย  ยูเครน ไต้หวัน เมียนมา และทุกชาติที่มีนักการเมืองโปรตะวันตก ปากพร่ำย้ำคิดย้ำทำแต่ประชาธิปไตย สิทธิเสรีภาพ สิทธิมนุษยชน ที่เป็น กับดักความคิด ถูกปั่นหลอกให้บ่อนทำลายชาติจากภายในจนอ่อนแอ แทรกแซงครอบงำได้ง่าย”