เสี่ยงบ่นอื้ออึงทั้งในโซเชียลมิเดีย และหน้าหนังสือพิมพ์ออนไลน์ของสหรัฐพบว่าคนอเมริกัน ๑ ใน ๖ ของจำนวนประชากรอาจต้องถูกตัดไฟฟ้าใช้ เพราะค้างบิลล์ค่าใช้จ่ายหลายเดือน อดีตเวลาเกิดปัญหาเศรษฐกิจในสหรัฐ มีแต่สำนักงานรัฐบาลจะถูกตัดไฟ แต่นี่ลามไปถึงประชาชนชัดเจนว่า จะเป็นฝ่ายรับเคราะห์จากการบริหารที่ผิดพลาดของผู้นำ ผลักดันสงครามนอกบ้าน ไม่ทุ่มเทให้กับการแก้ปัญหาภายในประเทศ หรือที่จริงแล้ว สหรัฐและพันธมิตรตะวันตกมองว่าจำเป็นต้องก่อสงครามเพื่อรีเซ็ทระบบ ล้มกระดานใหม่เพราะเศรษฐกิจถึงทางตันแก้ไม่ได้
นอกจากนี้ผลการสำรวจพบว่าผู้มีสิทธิเลือกตั้งมะกัน ๖๘% เชื่อว่า ‘เศรษฐกิจสหรัฐฯ’เข้าสู่ภาวะถดถอยแล้ว ไม่ได้ดีอย่างที่ปธน.โจ ไบเดน และทีมเศรษฐกิจทั้งกระทรวงการคลังสหรัฐ และเฟดปลอบว่า พื้นฐานเศรษฐกิจสหรัฐยังแกร่งจะฝ่าไปได้ แต่จะยังคงต้องเพิ่มอัตราดอกเบี้ยนโยบายต่อไปเพื่อสู้กับเงินเฟ้อ
สถานการณ์เหล่านี้เริ่มมองเห็นกระแสความไม่พอใจของประชาชน เรื่องเศรษฐกิจมากขึ้น ว่ากำลังก้าวสู่หุบเหว แต่รัฐบาลยังทุ่มทุนให้ยูเครนก่อสงครามไม่จบสิ้นแทนที่จะเอาเม็ดเงินเหล่านั้นมาแก้ปัญหาให้คนอเมริกัน
วันที่ ๒๗ ส.ค.๒๕๖๕ สำนักข่าวบลูมเบิร์กสและซินหัวรายงานว่า ราคาไฟฟ้าที่พุ่งสูงขึ้นเริ่มส่งผลกระทบต่อครัวเรือนในสหรัฐฯ เนื่องจากพวกเขาไม่สามารถจ่ายค่าสาธารณูปโภคได้
บ้านคนอเมริกันประมาณ ๑ ใน ๖ หรือมากกว่า ๒๐ ล้านครัวเรือนไม่สามารถเสียค่าใช้จ่ายเพื่อสาธารณูปโภค ทำให้เกิดวิกฤตที่เลวร้ายที่สุดในประเทศ
ค่าสาธารณูปโภคที่เพิ่มขึ้นส่วนหนึ่งเป็นผลมาจากราคาก๊าซธรรมชาติที่สูงขึ้น ในสหรัฐอเมริกา ราคาก๊าซธรรมชาติพุ่งสูงขึ้นกว่า ๑๕๐% เมื่อเทียบเป็นรายปี ท่ามกลางความต้องการเชื้อเพลิงที่เพิ่มขึ้นจากตลาดต่างประเทศและที่บ้าน
ตามรายงานของสมาคมกรรมการช่วยเหลือด้านพลังงานแห่งชาติ (NEADA) ครัวเรือนเหล่านั้นเป็นหนี้ค่าสาธารณูปโภคที่ยังไม่ได้ชำระรวม ๑๖,๐๐๐ ล้านดอลลาร์สหรัฐ เพิ่มขึ้นเป็นสองเท่าของยอดรวมก่อนเกิดโรคระบาด ยอดค้างชำระเฉลี่ยเพิ่มขึ้น ๙๗% จากปี ๒๐๑๙ เป็นเงิน ๗๙๒ ดอลลาร์สหรัฐต่อึครัวเรือน
ราคาไฟฟ้าที่สูงขึ้นส่งผลกระทบต่อครัวเรือนที่มีรายได้ต่ำมากที่สุด โดยเกือบ 40% ของพวกเขาไม่จ่ายค่าไฟรายเดือนในปีที่แล้ว ในขณะเดียวกัน เกือบหนึ่งในสามของครัวเรือนในสหรัฐฯ กล่าวว่าพวกเขาลดการใช้จ่ายกับสิ่งจำเป็นในครัวเรือนขั้นพื้นฐาน เช่น ยาหรืออาหาร เพื่อชำระค่าพลังงาน
PG&Eแห่งแคลิฟอร์เนีย ระบุคนไม่จ่ายค่าไฟเพิ่มขึ้น ๔๐% ตั้งแต่ต้นปี ๒๐๒๐ และPublic Service Enterprise Group of New Jersey ซึ่งมีคนไม่จ่ายค่าไฟเพิ่มขึ้น ๓๐% ตั้งแต่เดือนมีนาคมของปีนี้
ยีน ซู(Jean Su )จากศูนย์ความหลากหลายทางชีวภาพ กล่าวว่า”ฉันคาดว่าคลื่นสึนามิจากการปิดไฟฟ้าจะเกิด นั่นอาจเป็นหายนะสำหรับความเป็นอยู่ที่ดีของชาวอเมริกันหลายล้านคน หากเกิดอุณหภูมิร้อนจัดหรือเย็นจัดในสหรัฐฯ อีกไม่นานจะได้เห็น”
สภาพการณ์เดียวกันกำลังเกิดขึ้นในยุโรป วิกฤตค่าไฟฟ้ากำลังรุนแรงยิ่งขึ้นในเขตยูโรโซนทั้งหมด เนื่องจากราคาก๊าซธรรมชาติพุ่งสูงขึ้นอย่างมากจากการคว่ำบาตรพลังงานรัสเซีย และคลื่นความร้อนในฤดูร้อน ดีมานด์กับซัพพลายไม่สมดุล
กลับมาที่อเมริกา ผลสำรวจโดยสถานีโทรทัศน์เอ็นบีซีนิวส์ สะท้อนผลของการที่ประชาชนคนธรรมดาต้องเผชิญปัญหารุมเร้าทางเศรษฐกิจต่อเนื่อง เมื่อออกสำรวจจึงพบว่า ผู้มีสิทธิเลือกตั้งชาวอเมริกันที่ลงทะเบียนส่วนใหญ่เชื่อว่า เศรษฐกิจสหรัฐฯ ตกต่ำสู่ภาวะถดถอยแล้ว และกฎหมายว่าด้วยการปรับลดเงินเฟ้อ อินเฟลชั่น รีดักชั่น แอ็คต์(Inflation Reduction Act) ของรัฐบาล มีส่วนบรรเทาปัญหาเพียงเล็กน้อยเท่านั้น
ผลสำรวจที่จัดทำขึ้นช่วงวันที่ ๑๒-๑๖ ส.ค.๓๕๖๕ พบว่าผู้มีสิทธิเลือกตั้งชาวอเมริกันร้อยละ๖๘ มองว่าเศรษฐกิจกำลังอยู่ในภาวะถดถอย ขณะที่มีเพียงร้อยละ ๒๗ เชื่อว่าไม่เป็นเช่นนั้น
สำหรับประเด็นกฎหมายที่ได้รับการลงนามรับรองเมื่อไม่นานนี้ ซึ่งปธน.โจ ไบเดนยืนยันว่าจะช่วยบรรเทาปัญหาเงินเฟ้อแก่คนอเมริกัน แต่ชาวบ้านไม่เชื่อเช่นนั้น ชาวอเมริกันร้อยละ ๓๕ เชื่อว่ากฎหมายดังกล่าวจะส่งผลกระทบด้านลบต่อการเงินของพวกเขา และอีกร้อยละ ๓๖ ระบุว่ากฎหมายจะช่วยแก้ปัญหาอัตราเงินเฟ้อเพียงเล็กน้อยเท่านั้น
ขณะเดียวกัน บลูมเบิร์กอ้างอิงรายงานผลประกอบการล่าสุดจากผู้ค้าปลีกหลายรายในอุตสาหกรรมต่างๆ ระบุว่าผู้บริโภคที่มีรายได้ต่ำในสหรัฐฯ กำลังเผชิญแรงกดดันมากขึ้น เนื่องจากการลดค่าใช้จ่ายของผู้บริโภคอาจส่งผลกระทบต่อการคาดการณ์การเติบโตของเศรษฐกิจอย่างมีนัยสำคัญ ส่งผลการดำเนินกิจการของบริษัทค้าปลีกทั้งรา่ยใหญ่และรายเล็ก จำเป็นต้องรีบปรับตัวก่อนล้มละลาย