จากกรณีเหตุการณ์เมื่อปี 2557 น.ส.โสมณุดา สัมมานุช หรือ “สีกาบี” ได้ออกมาเปิดโปงเรื่องอื้อฉาวในวงการคณะสงฆ์จังหวัดกาฬสินธุ์ สายธรรมยุต ว่าพระชั้นผู้ใหญ่ พระโพธิญาณมุนี หรือ หลวงพ่อเมือง พลวัฑโฒ เจ้าอาวาสวัดป่ามัชฌิมวาส บ้านดงเมือง ต.ลำพาน อ.เมืองกาฬสินธุ์ ได้ร่วมกันมีเพศสัมพันธ์ฉันชู้สาว กล่าวคือมีการเสพเมถุนร่วมกันกับตนเอง
โดยการเปิดโปงครั้งนั้น สีกาบีได้กลายเป็นข่าวดังไปทั่วประเทศและเป็นเรื่องที่ประชาชนให้ความสนใจ เนื่องจากพระโพธิญาณมุนี หรือหลวงพ่อเมือง เป็นพระชั้นสามัญ มีลูกศิษย์ลูกหาในทุกระดับชั้นทั่วประเทศ ทราบว่าหน่วยงานที่เกี่ยวข้องรวมถึงพระสังฆาธิการในจังหวัดกาฬสินธุ์ก็ได้ตั้งกรรมการสอบสวนข้อเท็จจริงเรื่องนี้เช่นกัน แต่เมื่อเวลาล่วงเลยนานนับ 7 ปี น.ส.โสมณุดา สัมมานุช หรือสีกาบี ได้ทำหนังสือร้องเรียนถึง นายสนธิ ลิ้มทองกุล ผู้ก่อตั้งสื่อในเครือผู้จัดการและเป็นเจ้าของรายการ “สนธิทอล์ก” โดยในหนังสือร้องเรียนได้บรรยายความรู้สึกภายในใจ ถึงเหตุการณ์ดังกล่าว
จนล่าสุดเมื่อวันที่ 12 ก.ค. 2565 มีเอกสารคำวินิจฉัยชั้นต้น พิจารณาปมดังกล่าว ระหว่าง น.ส.โสมณุดา สัมมานุช เป็นโจทก์ และพระโพธิญาณมุนี หรือ หลวงพ่อเมือง พลวัฑโฒ เจ้าอาวาสวัดป่ามัชฌิมวาส เป็นจำเลย เรื่องการล่วงละเมิดพระธรรมวินัย ต้องอาบัติปฐมปาราชิก เสพเมถุนธรรม และนิคหกรรมที่จะลงแก่ พระภิกษุอันเป็นความผิดตามพระราชบัญญัติสงฆ์
ข้อ.๑ โจทก์ฟ้องและแก้ไขฟ้องว่า เมื่อวันที่ ๑๐ พฤศจิกายน ๒๕๕๔ เวลากลางคืน จำเลย ข้อ ๑ อาจข่มขืนกระทำชำเราโจทก์ โดยใช้กำลังประทุษร้ายด้วยการใช้อุบายหลอกลงเรียกให้โจทก์ไปพบที่กุฏิ ที่จำเลยพักอาศัย เมื่อโจทก์เข้าไปแล้วได้ใช้กำลังประทุษร้าย ด้วยการใช้อุบายหลอกลวงเรียกให้โจทก์ไปพบที่กุฏิ ที่จำเลยพักอาศัย เมื่อโจทก์เข้าไปในกุฏิของจำเลยแล้ว จำเลยก็ผลักโจทก์ให้ล้มลง ซึ่งการใช้กำลังประทุษร้าย ดังกล่าวเป็นเหตุให้โจทก์อยู่ในภาวะที่ไม่สามารถขัดขืนได้ จากนั้นจำเลยจึงกระทำการข่มขืนกระทำชำเราโจทก์ ด้วยการเสพเมถุนจนสำเร็จความใคร่ไปครั้งหนึ่ง การกระทำของจำเลยจึงเป็นการใช้อำนาจผิดทำนองคลองธรรม เป็นเหตุให้โจทก์ได้รับความเสียหาย จึงเป็นความผิดตามกฎหมายต้องด้วยอาบัติปาราชิก โดยโจทก์มีพยาน และหลักฐานนำมาเสนอพร้อมฟ้องนี้แล้ว
ข้อ ๒. เมื่อประมาณเดือนมีนาคม ๒๕๕๗ เวลากลางวัน จำเลยนี้ได้ใช้อุบายล่อลวงโจทก์ ให้เข้าไปในกุฏิของจำเลย เมื่อโจทก์เข้าไปในกุฏิจำเลยก็ใช้อุบายหลอกลวงโจทก์ และใช้อำนาจผิดทำนองคลองธรรมให้โจทก์อยู่ในภาวะที่ไม่สามารถขัดขืนได้ จากนั้นจำเลยก็ทำการกระทำชำเราด้วยการเสพเมถุนกับโจทก์ เป็นเหตุให้โจทก์ได้รับความเสียหาย การกระทำของจำเลยจึงต้องอาบัติปาราชิกซึ่งโจทก์มีพยาน และหลักฐานที่ได้นำมาเสนอพร้อมคำฟ้องนี้แล้ว
เหตุตามฟ้องทั้งหมดเกิดขึ้นที่วัดป่ามัชฌิมวาส บ้านดงเมือง ตำบลลำพาน อำเภอเมืองกาฬสินธุ์ จังหวัดกาฬสินธุ์ ซึ่งกรณีการเสพเมถุนดังกล่าวของจำเลย จึงถือได้ว่ามีอธิกรณ์เกิดขึ้น สมควรดำเนินการ ตามพระราชบัญญัติคณะสงฆ์และตามกฎมหาเถรสมาคม ฉบับที่ ๑๑ (พ.ศ. ๒๕๒๑) ว่าด้วยการลงนิคหกรรม
สุดท้ายคำวินิจฉัยชั้นต้น มีคำกล่าวต่อไปว่า คณะผู้พิจารณาชั้นต้นได้พิจารณาข้อเท็จจริงทั้งหมดแล้ว จึงเชื่อโดยปราศจากข้อสงสัยว่า จำเลยและโจทก์ได้มีการร่วมเพศอันเป็นการเสพเมถุนกันตามที่โจทก์ได้นำสืบแล้ว ถือได้ว่าจำเลย ซึ่งเป็นพระภิกษุได้กระทำการล่วงละเมิดพระวินัยต้องอาบัติปาราชิก ตามสิกขาบทที่ ๑ ว่า “ ก็ภิกษุใด เมถุนธรรม เป็นปาราชิก หาสังวาสมิได้” จึงได้ดำเนินการตามพระราชบัญญัติคณะสงฆ์ พ.ศ.๒๕๐๕ แก้ไขเพิ่มเติมโดยพระราชบัญญัติคณะสงฆ์ (ฉบับที่ ๒) พ.ศ.๒๕๓๕ และตามกฎมหาเถรสมาคม ฉบับที่ ๑๑ (พ.ศ.๒๕๒๑) ว่าด้วยการลงนิคหกรรม ปรับอาบัติปาราชิกแก่จำเลย ให้ขาดจากความเป็นภิกษุนับแต่วันที่ได้ เสพเมถุนเป็นต้นไป