นายกฯ ประชุมบอร์ดบีโอไอ ย้ำหาแนวทางดึงดูดนักลงทุนต่างประเทศ ปรับนโยบายรองรับเทคโนโลยีใหม่ เผยยอดขอรับการส่งเสริมการลงทุน ๖ เดือน กว่า ๒.๑ แสนล้านบาท กลุ่มยานยนต์ไฟฟ้า อุตสาหกรรมดิจิทัลมาแรง
วันที่ ๑๗ ส.ค.๒๕๖๕ นายธนกร วังบุญคงชนะ โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่าพลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม เป็นประธานการประชุมคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน (บอร์ดบีโอไอ) ครั้งที่ ๔/๒๕๖๕ ผ่านระบบการประชุมทางไกล (VDO conference) ร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง โดยมี นายสุพัฒนพงษ์ พันธ์มีเชาว์ รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน เข้าร่วมด้วย สรุปสาระสำคัญดังนี้
นายกรัฐมนตรีขอให้กรรมการทุกคนช่วยกันพิจารณาทั้งเรื่องเชิงนโยบายและการขอรับการส่งเสริมการลงทุนเพื่อร่วมกันดำเนินการในเรื่องที่จะเป็นประโยชน์ต่อประชาชน พร้อมกล่าวถึงการดำเนินการส่งเสริมการลงทุนในประเทศมีความก้าวหน้าตามลำดับ เน้นย้ำต้องเร่งดำเนินการในเรื่องการลงทุนในสิ่งใหม่ ๆ และเทคโนโลยีใหม่ให้เกิดขึ้น ควบคู่กับการศึกษาข้อมูลการดำเนินการการส่งเสริมการลงทุนของประเทศต่าง ๆ รวมถึงในกลุ่มประเทศอาเซียน เพื่อนำมาพัฒนาปรับปรุงวิธีการ แนวทางการดำเนินงาน และหลักเกณฑ์การให้สิทธิประโยชน์การส่งเสริมการลงทุนที่ให้เหมาะสมกับประเทศไทย และให้สามารถสร้างแรงจูงใจดึงดูดนักลงทุนจากต่างประเทศเข้ามาลงทุนในประเทศได้มากขึ้น ซึ่งขณะนี้มีนักลงทุนหลายประเทศที่ให้ความสนใจที่จะมาลงทุนในประเทศไทย ดังนั้นต้องมีการปรับหลักเกณฑ์ให้เหมาะสม ชัดเจน ดำเนินการให้ถูกต้องตามกฎหมายที่เกี่ยวข้อง เกิดความโปร่งใส ตรวจสอบได้ และเป็นธรรมกับทุกฝ่าย โดยคำนึงถึงประโยชน์ที่ประเทศและประชาชนจะได้รับ
นายกรัฐมนตรีกล่าวให้ความสำคัญกับการลงทุนที่มุ่งเน้นเรื่องของเทคโนโลยี การวิจัยและพัฒนา การถ่ายทอดเทคโนโลยีและองค์ความรู้ที่จำเป็นในการสร้างความเข้มแข็ง นำไปสู่การพัฒนาประเทศในอนาคต และให้ประเทศไทยมีขีดความสามารถแข่งขันได้กับต่างประเทศ ตลอดจนการดำเนินการเรื่องสิ่งแวดล้อมที่สอดคล้องกับการขับเคลื่อน BCG ตามนโยบายรัฐบาล เพื่อร่วมกันขับเคลื่อนประเทศไปสู่เป้าหมายที่กำหนดตามที่ได้ประกาศไว้
ทั้งนี้ นายกรัฐมนตรีต้องการให้ประเทศไทยเป็นฐานการผลิตยานยนต์ไฟฟ้าตามนโยบาย ๓๐@๓๐ คือ การตั้งเป้าผลิตรถ ZEV (Zero Emission Vehicle) หรือ รถยนต์ที่ปล่อยมลพิษเป็นศูนย์ ให้ได้อย่างน้อย ๓๐% ของการผลิตยานยนต์ทั้งหมดในปี ค.ศ. ๒๐๓๐ หรือ พ.ศ. ๒๕๗๓ ถือเป็นอีกหนึ่งกลไกที่จะนำพาประเทศไทยเข้าสู่การเป็นสังคมคาร์บอนต่ำ (Low-carbon Society) ในอนาคตแบบเต็มรูปแบบ ซึ่งขณะนี้มีนักลงทุนหลายประเทศให้ความสนใจที่จะมาลงทุนในประเทศไทย ดังนั้นทุกฝ่ายต้องช่วยกันหาแนวทาง วิธีการ หรือการให้สิทธิประโยชน์ที่เหมาะสม เพื่อสามารถจูงใจและดึงดูดนักลงทุนมาลงทุนในประเทศไทยด้วย รวมทั้งต้องมีการเตรียมความพร้อมด้านพลังงานของประเทศให้เพียงพอรองรับการดำเนินการดังกล่าวด้วย
นอกจากนี้ นายกรัฐมนตรียังให้ข้อเสนอแนะให้มีการทำข้อมูลตัวเลขเกี่ยวกับการส่งเสริมการลงทุนต่าง ๆ ให้ชัดเจนเป็นระบบ เพื่อสามารถนำข้อมูลมาประกอการพิจารณาในการบริหารงานและการดำเนินการส่งเสริมการลงทุนโครงการต่าง ๆ ที่มีประสิทธิภาพมากขึ้น รวมทั้งเพื่อเป็นอีกหนึ่งช่องทางในการสร้างการรับรู้ให้กับประชาชน ได้รับทราบถึงผลประโยชนที่ได้รับจากการส่งเสริมการลงทุนที่เกิดขึ้นในประเทศไทย
สำหรับมติที่ประชุมบอร์ดบีโอไอในประเด็นสำคัญ มีดังนี้
ที่ประชุมรับทราบภาวะส่งเสริมการลงทุนโดยสถิติคำขอรับการส่งเสริมการลงทุนในช่วง ๖ เดือน (ม.ค. – มิ.ย.) ปี ๒๕๖๕ ที่ผ่านมา มีโครงการขอรับส่งเสริมการลงทุน ๗๘๔ โครงการ เพิ่มขึ้นจากช่วงเดียวกันของปีก่อน ร้อยละ ๔ และมูลค่ารวม ๒๑๙,๗๑๐ ล้านบาท ลดลงจากช่วงเดียวกันของปีก่อน ร้อยละ ๔๒ เนื่องจากในปี ๒๕๖๔ มีการขอรับการส่งเสริมการผลิตพลังงานไฟฟ้าซึ่งเป็นโครงการลงทุนขนาดใหญ่จำนวนมาก มีเงินลงทุนรวมสูงถึง ๗๕,๗๘๐ ล้านบาท สำหรับคำขอรับส่งเสริมการลงทุนในกลุ่มอุตสาหกรรมเป้าหมาย มีจำนวนทั้งสิ้น ๓๕๘ โครงการ คิดเป็นร้อยละ ๔๖ ของจำนวนโครงการที่ขอรับการส่งเสริมทั้งหมด และมีมูลค่าลงทุนรวมทั้งสิ้น ๑๕๓,๔๘๐ ล้านบาท คิดเป็นร้อยละ๗๐ ของมูลค่าคำขอรับการส่งเสริมการลงทุนรวม อุตสาหกรรมยานยนต์และชิ้นส่วน และอุตสาหกรรมดิจิทัล มีอัตราการขยายตัวสูงสุด โดยอุตสาหกรรมยานยนต์และชิ้นส่วน มีมูลค่าเงินลงทุนสูงสุดที่ ๔๒,๔๑๐ ล้านบาท ขยายตัวร้อยละ ๒๑๒ อุตสาหกรรมดิจิทัล มูลค่าเงินลงทุน ๑,๔๕๐ ล้านบาท ขยายตัวร้อยละ ๒๐๒
ขณะที่การลงทุนโดยตรงจากประเทศ (FDI) มีโครงการยื่นขอรับส่งเสริมการลงทุนรวม ๓๙๕ โครงการ มูลค่าเงินลงทุนรวม ๑๓๐,๐๓๘ ล้านบาท โดยการลงทุนจากไต้หวันมีมูลค่าเงินลงทุนมากที่สุด ๓๖,๑๐๐ ล้านบาท เนื่องจากมีการขอรับส่งเสริมการลงทุนในอุตสาหกรรมยานยนต์และชิ้นส่วน สอดคล้องกับนโยบายบีโอไอที่มุ่งให้การส่งเสริมการลงทุนในกลุ่มยานยนต์ไฟฟ้าและชิ้นส่วนที่เกี่ยวข้อง เพื่อผลักดันไทยไปสู่ศูนย์กลางการลงทุนยานยนต์ไฟฟ้าและชิ้นส่วนในภูมิภาค และคาดว่าการลงทุนในอุตสาหกรรมยานยนต์ไฟฟ้าจะยังคงขยายตัวอย่างต่อเนื่อง
มาตรการสนับสนุนของรัฐบาลได้รับความสนใจจากผู้ผลิตยานยนต์อย่างกว้างขวาง สำหรับพื้นที่เป้าหมาย EEC มีการขอรับส่งเสริมจำนวน ๒๑๗ โครงการ มูลค่าเงินลงทุนรวม ๑๐๔,๘๕๐ ล้านบาท โดย เป็นการลงทุนในหมวดอุตสาหกรรมยานยนต์และชิ้นส่วนถึงร้อยละ ๔๙ เนื่องจากโครงการยานยนต์ไฟฟ้าซึ่งเป็นการลงทุนขนาดใหญ่ รองลงมาคืออุตสาหกรรมปิโตรเคมี ร้อยละ ๓๐ ซึ่งพื้นที่ภาคตะวันออกเป็นศูนย์กลางอุตสาหกรรมปิโตรเคมีของภูมิภาคอยู่แล้ว
นอกจากนี้ มีคำขอรับส่งเสริมการลงทุนตามมาตรการปรับปรุงประสิทธิภาพ จำนวน ๑๔๑ โครงการ เงินลงทุน ๑๑,๘๓๐ ล้านบาท โดยส่วนใหญ่เป็นการลงทุนเพื่อการใช้พลังงานทดแทน การประหยัดพลังงาน หรือการลดผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม สอดคล้องกับทิศทางของโลกที่ให้ความสำคัญกับการปรับเปลี่ยนไปใช้พลังงานทดแทนซึ่งกำลังจะเป็นเงื่อนไขสำคัญในการเข้าสู่ตลาดด้วย ส่วนคำขอรับส่งเสริมการลงทุนตามมาตรการ SMEs มีจำนวน ๒๑ โครงการ มูลค่าเงินลงทุน ๑,๐๕๐ ล้านบาท
อีกทั้งที่ประชุมได้อนุมัติโครงการส่งเสริมการลงทุนขนาดใหญ่ รวม ๔ โครงการ ได้แก่ กิจการผลิตรถยนต์ไฟฟ้าแบบแบตเตอรี่ และรถยนต์ไฟฟ้าแบบผสมเสียบปลั๊ก มูลค่า ๑๗,๘๙๑ ล้านบาท จากประเทศจีน กิจการผลิตก๊าซธรรมชาติ ของบริษัท ปตท. จำกัด (มหาชน) มูลค่า ๑๘,๐๐๐ ล้านบาท กิจการขนส่งทางเรือของบริษัท ฐิตติ ภูมิ จำกัด มูลค่า ๔,๓๑๐ ล้านบาท และบริษัท ศานติ ภูมิ จำกัด มูลค่า ๔,๓๑๐ ล้านบาท
รวมทั้งได้เห็นชอบให้เพิ่มประเภทกิจการผลิตภัณฑ์ที่ใช้เทคโนโลยีขั้นสูง 4 ประเภท ได้แก่
๑) กิจการผลิตเครื่องจักรที่มีความแม่นยำสูง รวมถึงการผลิตอุปกรณ์และชิ้นส่วน และการซ่อมแซมเครื่องจักรหรืออุปกรณ์ที่ผลิตเอง ได้สิทธิประโยชน์ยกเว้นภาษีเงินได้นิติบุคคล ๘ ปี และ
๒) กิจการซ่อมแซมเครื่องจักรที่มีความแม่นยำสูง ได้สิทธิประโยชน์ยกเว้นภาษีเงินได้นิติบุคคล 5 ปี (ไม่จำกัดวงเงิน)