สถานการณ์สู้รบในยูเครนยิ่งเดือดระอุ เมื่อมีการเคลื่อนไหวยั่วยุอย่างอันตรายของเคียฟโจมตีโรงไฟฟ้านิวเคลียร์ซาโปริชเชียที่รัสเซียควบคุมอยู่ เมื่อรัสเซียขอเปิดประชุมฉุกเฉินคณะมนตรีความมั่นคงแห่งสหประชาชาติ พบว่าสหรัฐและเลขาธิการสหประชาชาติแสดงท่าทีถือหางยูเครน ขอให้รัสเซียถอนทหารออกและทำให้รอบโรงไฟฟ้าฯเป็นเขตปลอดทหาร ซึ่งไม่สอดคล้องความเป็นจริงว่าจะสามารถแก้ปัญหาได้ ทำให้ไม่มีข้อสรุปและความเสี่ยงนี้จึงดำเนินต่อไปอย่างน่าวิตก
ด้านการปฏิบัติการเชิงรุกทางทหารของรัสเซีย ได้คืบหน้าไปครอบคลุมเมืองยูดีของคาร์คอฟซึ่งเดิมเป็นพื้นที่ภายใต้การดูแลของยูเครนสามารถยึดได้เบ็ดเสร็จ เป้าหมายเพื่อปลดพันธนาการให้สาธารณรัฐลูฮันสก์อย่างสมบูรณ์ ขณะเดียวกันในทางการทูต รัสเซียได้ส่งคำเตือนสหรัฐว่าการสนับสนุนยูเครนอย่างทุ่มเทของสหรัฐและโจ่งแจ้งได้แสดงให้เห็นว่า คู่ขัดแย้งหลักของรัสเซียคือสหรัฐโดยตรง หากเดินหน้ายึดทรัพย์ของรัสเซียตัดขาดสัมพันธ์ทางการทูตอย่างสิ้นเชิง นี่อาจหมายถึงการยกระดับเป็นคู่สงครามโดยตรง ซึ่งแน่นอนรัสเซียสามาถเล็งเป้าหมายไปยังสหรัฐได้อย่างชอบธรรมนั่นเอง
วันที่ ๑๔ ส.ค.๒๕๖๕ สำนักข่าวทาซซ์และรัสเซียทูเดย์รายงานว่า มิคาอีล อูลยานอฟ (Mikhail Ulyanov) ผู้แทนถาวรรัสเซียประจำองค์การระหว่างประเทศในเวียนนา เรียกร้องให้ยูเครนยุติความพยายามโจมตีโรงไฟฟ้านิวเคลียร์ซาโปริชเชีย ( Zaporizhzhia) พร้อมทั้งขอให้ผู้ตรวจสอบของทบวงการพลังงานปรมาณูระหว่างประเทศหรือไอเออีเอ (International Atomic Energy Agency—IAEA) เข้าไปตรวจสอบในโรงไฟฟ้านิวเคลียร์ได้ โรงไฟฟ้าซาโปริชเชียเป็นโรงไฟฟ้านิวเคลียร์ขนาดใหญ่ ตั้งอยู่ในภูมิภาคไมโคเลียฟ (Mykolaiv) หากเกิดภัยพิบัติจะส่งผลกระทบต่อประเทศยูเครนและยุโรปอย่างหนักยิ่งกว่าภัยพิบัติเชอร์โนบิลในอดีต
มอสโกว์กล่าวโทษยูเครนซ้ำแล้วซ้ำเล่าในการทิ้งระเบิดโรงไฟฟ้านิวเคลียร์ซาโปริชเชียที่รัสเซียถือครองอยู่ตลอดสัปดาห์ที่ผ่านมา เมื่อวันพฤหัสบดีสัปดาห์ก่อน วาซิลี เนเบนเซีย(Vasily Nevenzya) เอกอัครราชทูตรัสเซียประจำสหประชาชาติ กล่าวกับคณะมนตรีความมั่นคงว่า ภัยพิบัตินิวเคลียร์อาจเกิดขึ้นได้ทุกเมื่อท่ามกลางการระดมยิงอย่างประมาทใส่โรงไฟฟ้านิวเคลียร์ฯโดยกองกำลังของเคียฟ
เนเบนเซียกล่าวเตือนว่า“การโจมตีที่ผิดกฎหมายอาญาของเคียฟต่อสิ่งอำนวยความสะดวกโครงสร้างพื้นฐานด้านนิวเคลียร์กำลังผลักดันให้โลกใกล้จะถึงหายนะทางนิวเคลียร์ที่จะรุนแรงกว่าวิกฤติโรงไฟฟ้านิวเคลียร์เชอร์โนบิลในอดีต”
ในทางกลับกัน เคียฟได้กล่าวหารัสเซียเป็นฝ่ายถล่มไปที่โรงงานแห่งนี้เพื่อทำลายชื่อเสียงของยูเครน ซึ่งมอสโกว์ปฏิเสธโดยกล่าวว่าไม่มีเหตุผลที่จะถล่มไปที่กองกำลังของตนเองที่ดูแลอยู่ในโรงไฟฟ้าฯ
ในขณะเดียวกันเมื่อมีการเรียกประชุมฉุกเฉินคณะมนตรีความมั่นคงสหประชาชาติ ผลคือ เลขาธิการสหประชาชาติและวอชิงตันได้เข้าข้างเคียฟในการเรียกร้องให้มีเขตปลอดทหารรอบโรงไฟฟ้านิวเคลียร์ และขอให้ถอนทหารของรัสเซียที่ควบคุมพื้นที่ดังกล่าว จนวันนี้จึงยังไม่มีข้อสรุป
อีกด้านหนึ่งในพื้นที่สู้รบ กลาโหมรัสเซียประกาศว่ากองกำลังพันธมิตรของสาธารณรัฐดอนบาส และกองทัพรัสเซียได้ควบคุมเมืองยูดี (Udy)ในเขตคาร์คอฟสมบูรณ์แล้วซึ่งเดิมเป็นพื้นที่ควบคุมของยูเครน
พล.ท.อิกอร์ โคนาเชนคอฟ โฆษกกระทรวงกลาโหมรัสเซีย(Igor Konashenkov) รายงานเมื่อวันอาทิตย์ที่ ๑๔ ส.ค.ที่ผ่านมาว่า กองทัพรัสเซียได้ปลดปล่อยการตั้งถิ่นฐานของเมืองอูดีในเขตคาร์คอฟ อันเป็นผลจากปฏิบัติการเชิงรุก พื้นที่นี้ตั้งอยู่ในเขตสาธารณรัฐประชาชนโดเนตสก์ (DPR) ได้รับการปลดปล่อยอย่างเต็มที่
ขณะเดียวกันในการปฏิบัติการเชิงรุก กองทัพรัสเซียได้ทำลายโดรนยูเครน ๒ ลำ, ขีปนาวุธโทคา-ยู (Tochka-U) และระบบจรวดหลายลำกล้อง ๑๕ ลำ
ตลอด 24 ชั่วโมงของการต่อสู้ กองกำลังป้องกันภัยทางอากาศของรัสเซียได้ทำลายยานพาหนะทางอากาศไร้คนขับของยูเครน ๒ ลำใกล้กับที่ตั้งของเมืองลิซิฮันสก์ (Lisichansk) แห่งสาธารณรัฐประชาชนลูฮันสก์และเมืองกลูโบคอย (Glubokoye) ของภูมิภาคคาร์คอฟ (Kharkov) ทำลายขีปนาวุธยิงจรวดจำนวน ๑๕ ลูกในเมืองอันโตนอฟกา(Antonovka) และเมืองโนวายา คาคอฟกา) Novaya Kakhovka) ของเขตเคอร์ซอน (Kherson)
โดยรวมแล้ว กองทัพรัสเซียได้ทำลายยุทโธปกรณ์ฝั่งยูเครนได้จำนวนมาก เครื่องบิน ๒๖๗ ลำ เฮลิคอปเตอร์ ๑๔๘ ลำ อากาศยานไร้คนขับ ๑,๗๓๘ ลำ ระบบขีปนาวุธจากพื้นสู่อากาศ ๓๖๕ ระบบ รถถัง ๔,๓๐๓ คัน และยานเกราะต่อสู้อื่นๆ ๗๙๘ รายการของระบบจรวดยิงหลายลำกล้อง ปืนครกสนาม ๓,๒๙๘ กระบอก ตลอดจนยานยนต์ทหารพิเศษ ๔,๘๘๘ เครื่อง ยานพาหนะเหล่านี้ถูกกำจัดตั้งแต่เริ่มปฏิบัติทางทหารพิเศษปลายเดือนกุมภาพันธ์ที่ผ่านมา
ในทางการทูต อเล็กซานเดอร์ ดาร์ชีฟ หัวหน้าฝ่ายกิจการอเมริกาเหนือของกระทรวงต่างประเทศรัสเซีย เตือนเข้มว่า หากสหรัฐอเมริกายึดทรัพย์สินของรัสเซียที่ควบคุมไว้ จะทำลายความสัมพันธ์ที่มีต่อกันอย่างถาวรและสำทับว่า อิทธิพลของอเมริกาต่อยูเครนเพิ่มขึ้นถึงระดับที่อเมริกากลายเป็นคู่กรณีโดยตรงในความขัดแย้งกับรัสเซียมากขึ้นอย่างไม่อาจปฏิเสธได้แล้วนั่นเอง!!!