เบื้องลึกคำตอบโลกตาสว่าง ความจริงที่สหรัฐอยากฮุบซินเจียง? แต่จีนรู้ทันตอกหน้าอย่ามาจุ้นจ้าน

0

จากที่มีประเด็นวิพากษ์วิจารณ์ถึงเรื่องสิทธิมนุษยชนของฝ่ายตะวันตก โดยเฉพาะสหรัฐที่กล่าวหาจีนในเรื่องอุยกูร์ซึ่งอยู่ในซินเจียง พยายามสร้างเรื่องราวเพื่อต้องการเข้าไปในพื้นที่ โดยถูกตั้งข้อสังเกตว่ามีวัตถุประสงค์อะไรมากกว่านั้นหรือไม่???

ล่าสุดเมื่อวันที่ 11 สิงหาคม 2565 เพจ World Update ได้โพสต์ข้อความระบุแหล่งที่มาจาก Global Times , China Media Group และกระทรวงต่างประเทศจีน ซึ่งมีเนื้อหาบางช่วงที่สำคัญว่า

“จีนมีโรงไฟฟ้านิวเคลียร์มากถึง 54 แห่ง และกำลังสร้างใหม่เพิ่มอีก 34 แห่ง หน่วยงานบริหารความปลอดภัยนิวเคลียร์แห่งชาติจีน ระบุว่ากำลังการผลิตไฟฟ้าจากพลังงานนิวเคลียร์จะมากถึง 70 ล้านกิโลวัตต์ ภายในปี 2025 เพื่อให้ความมั่นใจว่าจีนจะมีพลังงานไฟฟ้าใช้อย่างเพียงพอ ควบคู่ไปกับการรักษาสภาพแวดล้อม ความเป็นกลางทางคาร์บอน

ส่วนพลังงานก๊าซ จีนก็ผลิตใช้เองส่วนหนึ่ง ส่วนที่ขาดนำเข้ามาจากรัสเซีย ผ่านท่อส่งก๊าซไซบีเรีย และกำลังทำท่อส่งก๊าซใหม่เพิ่มอีกเรื่อยๆ อีกทั้งยังมีการนำเข้าก๊าซ LNG ทางเรือจากออสเตรเลีย และการ์ตา อีกด้วย

ด้านพลังงานน้ำมัน จีนจะใช้น้ำมันราว 800 ล้านตัน/ปี ( 5,824 ล้านบาร์เรล) โดยจีนผลิตใช้ได้เองราว 50% ส่วนที่เหลือนำเข้าจากรัสเซีย , ซาอุฯ , UAE ฯลฯ

ล่าสุด บริษัท ซิโนเปค บริษัทน้ำมันยักษ์ใหญ่ของจีน ค้นพบน้ำมันสำรอง 1,700 ล้านตัน ระหว่างโครงการสำรวจแหล่งน้ำมันและก๊าซชุนเป่ย ที่ตั้งอยู่ในแอ่งทาริม ภูมิภาคซินเจียงทางตะวันตกเฉียงเหนือของจีน โดย Lin Boqiang ผู้อำนวยการศูนย์วิจัยเศรษฐศาสตร์พลังงานแห่งประเทศจีน มหาวิทยาลัยเซียะเหมิน ระบุว่า ปริมาณสำรองมากระดับนี้สามารถตอบสนองความต้องการใช้น้ำมันภายในประเทศจีนได้ประมาณ 2 ปี

แหล่งน้ำมันแห่งใหม่นี้เป็นหนึ่งในแหล่งน้ำมันและก๊าซเชิงพาณิชย์ที่ลึกที่สุดในโลก โดยมีความลึกเฉลี่ยถึง 7,300 เมตร โครงการสำรวจครอบคลุม 41 หลุมที่ความลึกมากกว่า 8,000 เมตร , อีก 76 หลุมในระยะ 7,500 –  8,000 เมตร และหลุมความลึกสุด 9,300 เมตร เรียกว่า “โคโมลังมาใต้ดิน”

Sinopec ได้ขุดเจาะแหล่งน้ำมันและก๊าซ 4 แห่งโดยแต่ละแหล่งรวมกันมากกว่า 100 ล้านตันในลุ่มน้ำทาริม และได้ว่าจ้างใหม่อีก 15 หลุม โดยมีผลผลิตต่อวันเกิน 1,000 ตันที่ความลึก 8,000 เมตร

ลุ่มน้ำทาริม มีน้ำมันและก๊าซสำรองมากมาย แหล่งน้ำมันและก๊าซธรรมชาติที่ตั้งอยู่ใต้ดิน 6,000 เมตร ในสัดส่วน 83.2%  และความลึก 10,000 เมตร คิดเป็น 63.9% ของแหล่งน้ำมันและก๊าซธรรมชาติโดยรวมของจีน แหล่งน้ำมันและก๊าซจากลุ่มน้ำนี้สามารถตอบสนองความต้องการของประเทศได้ในอีก 10 ปีข้างหน้า”

ต่อมาเมื่อข้อความดังกล่าวได้ถูกเผยแพร่ออกมา ทำให้มีคนเข้ามาร่วมแสดงความคิดเห็นเป็นจำนวนมาก ซึ่งมีบางข้อความที่ให้ความเห็นเกี่ยวกับซินเจียงที่น่าสนใจ  เช่น

“ทำไมอเมริกาถึงอยากได้ซินเจียงประกาศเป่าร้องเรื่องสิทธิมนุษยชนละเมิดสิทธิชนกลุ่มน้อยวางแผนยุยงให้เกิดการประท้วงแยกประเทศเอกราชเพราะต้องการแหล่งพลังงานมโหฬารที่มีอยู่มากมายในภูมิภาคนี้เอง จีนรู้ทันตอกหน้ากลับเป็นเรื่องภายในของจีนห้ามเข้ามาจุ้นจ้าน”

“มิน่าซินเจียงถึงมีปัญหาสิทธิมนุษยชน(ที่อีแร้งป่าวประกาศอยู่ฝ่ายเดียว)จัง ที่แท้น้ำมันเพียบ”

อย่างไรก็ตามทีมข่าวเดอะทรูธ ยังพบความเคลื่อนไหวที่น่าสนใจอีกว่า เมื่อวันที่ 15 กรกฎาคม 2565 ประธานาธิบดีสี จิ้นผิง ของจีน เดินทางเยือนเขตปกครองตนเองซินเจียงอุยกูร์ เป็นครั้งแรกในรอบ 8 ปี ซึ่งพื้นที่แห่งนี้เคยเป็นประเด็นจากการที่สหรัฐกล่าวหาว่าจีนฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ชนกลุ่มน้อยชาวมุสลิมอุยกูร์

สื่อของจีนรายงานว่า ประธานาธิบดีสี ได้เดินทางเข้าเยี่ยมชมสถานที่ต่าง ๆ รวมทั้งมหาวิทยาลัยและเขตการค้าเมืองอุรุมชี เมืองหลวงของเขตปกครองตนเองซินเจียงอุยกูร์ ตั้งแต่วันที่ 12-14 กรกฎาคม

ทั้งนี้ เขตปกครองตนเองซินเจียงเคยเกิดเหตุการณ์ต่อต้านรัฐบาล และความรุนแรงต่อต้านชาวจีนเชื้อสายฮั่น ก่อนนำไปสู่การปราบปรามที่องค์การสหประชาชาติ (UN) กล่าวเมื่อปี 2561 ว่า จีนได้กักขังชาวอุยกูร์ 1 ล้านคนในค่ายกักกันขนาดใหญ่ ซึ่งจัดตั้งขึ้นเพื่อปรับทัศนคติทางการเมือง