ผลงานรัฐฯเจ๋ง!! เอกชนชี้ดัชนีเชื่อมั่นผู้บริโภคฟื้น ๒ เดือนติด ท่องเที่ยวปัง-ส่งออกบูม คาดจีดีพีปีนี้๓-๓.๕%

0

ศูนย์พยากรณ์เศรษฐกิจและธุรกิจ เผยดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภคเดือนก.ค.๒๕๖๕ ปรับตัวดีขึ้นต่อเนื่องเป็นเดือนที่ ๒ ในรอบ ๗ เดือน หลังคนรู้สึกเศรษฐกิจดีขึ้น โควิด-19 เบาลง ธุรกิจเริ่มเปิดดำเนินการ นักท่องเที่ยวเข้า แต่ยังกังวลน้ำมันแพง ค่าครองชีพพุ่ง เงินเฟ้อขยับ คาดการบริโภคจะเริ่มกลับมาตั้งแต่ปลายไตรมาส ๓ ตามการฟื้นตัวของเศรษฐกิจในไตรมาส ๔ ส่วนทั้งปียังประเมินจีดีพีโต ๓.๐-๓.๕%

วันที่ ๑๑ สิงหาคม ๒๕๖๕ นายธนวรรธน์ พลวิชัย อธิการบดีมหาวิทยาลัยหอการค้าไทย และประธานที่ปรึกษาศูนย์พยากรณ์เศรษฐกิจและธุรกิจ มหาวิทยาลัยหอการค้าไทย เปิดเผย “ดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภค ดัชนีความเชื่อมั่นหอการค้าไทย ประจำเดือนกรกฎาคม ปี ๒๕๖๕” พบว่าดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภคเดือนกรกฎาคม ๒๕๖๕ อยู่ที่ระดับ ๔๒.๔ เพิ่มขึ้นจากเดือนมิถุนายน อยู่ที่ระดับ ๔๑.๖

โดยเป็นการเพิ่มขึ้นต่อเนื่องเป็นเดือนที่ ๒ ในรอบ ๗ เดือน ขณะที่ดัชนีความเชื่อมั่นเกี่ยวกับเศรษฐกิจโดยรวม อยู่ที่ระดับ ๓๖.๔ ดัชนีความเชื่อมั่นเกี่ยวกับโอกาสในการหางาน อยู่ที่ระดับ ๓๙.๘ และดัชนีความเชื่อมั่นเกี่ยวกับรายได้ในอนาคต อยู่ที่ระดับ ๕๐.๘

ถือว่าเป็นจุดเริ่มต้นที่ดีที่แสดงให้เห็นว่าผู้บริโภคเริ่มกลับมาเชื่อมั่นว่าเศรษฐกิจเริ่มกลับมาฟื้นตัวขึ้น ซึ่งต้องติดตามอย่างใกล้ชิดว่าดัชนีความเชื่อมั่นของผู้บริโภคจะปรับตัวดีขึ้นอย่างต่อเนื่องหรือไม่

โดยปัจจัยบวกที่มีผลต่อทำให้ดัชนีความเชื่อมั่น คือ 

๑.ศูนย์บริหารสถานการณ์โควิด-๑๙ (ศบค.) ได้ผ่อนคลายมาตรการเดินทางระหว่างประเทศ และยกเลิกระบบ Thailand Pass ตั้งแต่ ๑ ก.ค., การปรับระดับพื้นที่ควบคุมโควิดเป็นสีเขียวทั่วประเทศ, การเปิดสถานบันเทิงถึงตี ๒ ส่งผลเชิงบวกต่อการท่องเที่ยวของไทย

๒.การฉีดวัคซีนป้องกันโควิดของทั่วโลกมีมากขึ้น ทำให้เกิดความเชื่อมั่นและคลายความวิตกกังวล รวมทั้งสถานการณ์ผู้ติดเชื้อลดลง 

๓.สำนักงานเศรษฐกิจการคลัง (สศค.) ปรับประมาณการเศรษฐกิจไทยปี 65 เป็น ๓.๕% จากปัจจัยการฟื้นตัวของอุปสงค์

ส่วนปัจจัยลบ ได้แก่ ผู้บริโภคยังกังวลว่าเศรษฐกิจยังฟื้นตัวช้า, ความวิตกกังวลต่อการระบาดของโรคโควิดที่ยังคงมีอยู่, ความกังวลต่อสถานการณ์ความขัดแย้งระหว่างรัสเซีย-ยูเครน ซึ่งกระทบต่อราคาพลังงานและต้นทุนการผลิตสินค้าให้สูงขึ้น, เงินบาทปรับตัวอ่อนค่า เป็นต้น

นายธนวรรธน์กล่าวอีกว่า แม้ดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภคจะดีขึ้น แต่ดัชนีในภาพรวมยังคงเคลื่อนไหวคงอยู่ต่ำกว่าระดับ ๑๐๐ แสดงให้เห็นว่าผู้บริโภคยังคงเห็นว่าสถานการณ์เศรษฐกิจโดยรวมยังฟื้นตัวช้าจากวิกฤตโควิด-๑๙ ในประเทศไทยและทั่วโลก โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อมีปัญหาสงครามระหว่างรัสเซียกับยูเครนเข้ามาซ้ำเติม ยิ่งส่งผลกระทบทางจิตวิทยาในเชิงลบอย่างมากต่อกำลังซื้อภายในประเทศ ภาคการท่องเที่ยว ภาคการส่งออก ธุรกิจโดยทั่วไป และการจ้างงานในอนาคต ซึ่งยังคงมีโอกาสบั่นทอนความเชื่อมั่นของผู้บริโภค ทั้งในปัจจุบันและในอนาคตได้อย่างต่อเนื่องในระยะอันใกล้นี้

อย่างไรก็ดี หากความเชื่อมั่นของผู้บริโภคยังคงฟื้นตัวอย่างต่อเนื่อง คาดว่าเศรษฐกิจไทยจะเริ่มฟื้นตัวชัดเจนมากขึ้นในไตรมาสที่ ๔ ของปีนี้ โดยผู้บริโภคจะกลับมาบริโภคสินค้าและบริการโดดเด่นขึ้นในปลายไตรมาสที่ ๓ ของปีนี้เป็นต้นไป ซึ่งคาดว่าเศรษฐกิจไทยในปีนี้ จะขยายตัวได้ในกรอบ ๓.๐-๓.๕%

“จากสถานการณ์ในขณะนี้หากไม่มีเหตุการณ์รุนแรงที่เป็นปัจจัยลบเข้ามาเพิ่มเติม เช่น ภัยพิบัติทางธรรมชาติ สงครามรัสเซีย-ยูเครนรุนแรงขึ้น ความขัดแย้งระหว่างจีน-ไต้หวัน-สหรัฐ ราคาน้ำมันสูงเกินเหตุ ก็จะไม่เป็นเหตุที่ทำให้ความเชื่อมั่นของผู้บริโภคปรับเป็นขาลง ในขณะที่เศรษฐกิจไทยไม่มีแรงกดดันมากจากการปรับขึ้นดอกเบี้ยของธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) รวมทั้งการปรับขึ้นดอกเบี้ยนโยบายของคณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.) เนื่องจากจะเริ่มเห็นอัตราเงินเฟ้อชะลอตัวลง”

ส่วนการจับจ่ายใช้สอยของประชาชน อาจยังไม่คึกคักมากนักในช่วงไตรมาส ๓ แต่จะค่อยๆ ดีขึ้นตั้งแต่ไตรมาส ๔ เพราะมีภาพของเศรษฐกิจที่ปรับตัวโดดเด่นขึ้น พร้อมมองว่า การปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยนโยบาย ๐.๒๕% จะไม่ส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจไทยมาก เนื่องจากธนาคารพาณิชย์ รวมทั้งธนาคารเฉพาะกิจของรัฐ ต่างพยายามช่วยตรึงอัตราดอกเบี้ยเงินกู้ไว้จนถึงสิ้นปี จึงทำให้การส่งผ่านต้นทุนทางการเงินไปสู่ลูกค้าไม่ได้เป็นแบบรวดเร็วในทันที ดังนั้นจึงไม่ได้มีผลกระทบให้ต้นทุนค่าครองชีพสูงมากขึ้นจนบั่นทอนกำลังซื้อของประชาชน