…..ศาลรัฐธรรมนูญมีคำวินิจฉัยว่า ในวันที่ 6 กุมภาพันธ์ 2562 ซึ่งนายธนาธรยื่นสมัครรับเลือกตั้งเป็น ส.ส.นายธนาธรยังถือหุ้นบริษัท วี-ลัค มีเดีย จำกัด
….การกระทำของนายธนาธร เข้าข่ายมีคุณสมบัติไม่เป็นไปตามรัฐธรรมนูญปี 2560 มาตรา 98 (3) ประกอบมาตรา 42 (3) ของ พ.ร.บ.ประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร พ.ศ. 2561 ถือได้ว่า เป็นบุคคลต้องห้ามมิให้ใช้สิทธิสมัครรับเลือกตั้งเป็น ส.ส. เนื่องจากถือหุ้นในธุรกิจสื่อมวลชน
…..ทำให้สมาชิกภาพของนายธนาธรสิ้นสุดลงตามรัฐธรรมนูญ ตั้งแต่วันที่ 23 พฤษภาคม 2562 ซึ่งเป็นวันที่ศาลได้สั่งให้นายธนาธรหยุดปฏิบัติหน้าที่ และให้ถือว่าวันที่ศาลรัฐธรรมนูญอ่านคำวินิจฉัยเป็นวันที่ตำแหน่ง ส.ส.ว่างลง
…..รัฐธรรมนูญมาตรา ๒๑๑ วรรคสี่บัญญัติว่า คําวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญให้เป็นเด็ดขาด มีผลผูกพันรัฐสภา คณะรัฐมนตรี ศาล องค์กรอิสระ และหน่วยงานของรัฐ
…..การที่ศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยว่า ในวันสมัครรับเลือกตั้งเป็น ส.ส.นายธนาธรถือหุ้นในธุรกิจสื่อมวลชนจึงมีคุณสมบัติต้องห้ามมิให้ใช้สิทธิสมัครรับเลือกตั้งเป็น ส.ส. จึงเป็นเด็ดขาดและมีผลผูกพันทุกองค์กรตามรัฐธรรมนูญ
…..ดังนั้นการกระทำของนายธนาธรจึงน่าจะเข้าข่ายเป็นการกระทำตามพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญ ว่าด้วยการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร พ.ศ. ๒๕๖๑
…..มาตรา ๑๕๑ บัญญัติว่า ผู้ใดรู้อยู่แล้วว่าตนไม่มีสิทธิสมัครรับเลือกตั้งเนื่องจากขาดคุณสมบัติหรือมีลักษณะต้องห้ามมิให้ใช้สิทธิสมัครรับเลือกตั้งเป็นสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร ได้สมัครรับเลือกตั้งหรือทําหนังสือยินยอมให้พรรคการเมืองเสนอรายชื่อเพื่อสมัครรับเลือกตั้งแบบบัญชีรายชื่อ ต้องระวางโทษจําคุกตั้งแต่หนึ่งปีถึงสิบปี และปรับตั้งแต่สองหมื่นบาทถึงสองแสนบาทและให้ศาลสั่งเพิกถอนสิทธิเลือกตั้งของผู้นั้นมีกําหนดยี่สิบปี
…..จึงเป็นหน้าที่ของ กกต.ที่จะต้องดำเนินการให้มีการฟ้องนายธนาธรต่อศาลที่มีอำนาจพิจารณาพิพากษาคดีอาญาเพื่อพิจารณาพิพากษาตามมาตรา ๑๕๑ ต่อไป