ไทยและมาเลเซียกระชับความร่วมมือ ประชุมทวิภาคีครั้งแรกในรอบ ๖ ปี มุ่งพัฒนาพื้นที่ชายแดนหลายมิติ ตั้งเป้าการค้า ๓๐,๐๐๐ ล้านดอลลาร์สหรัฐหรือ ๑.๐๖๑ ล้านล้านบาท ภายในปี๒๕๖๘
นางสาวรัชดา ธนาดิเรก รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยหลังการประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) เมื่อวันที่ ๙ สิงหาคม ๒๕๖๕ ว่า ครม.เห็นชอบร่างบันทึกการประชุมของการประชุมคณะกรรมาธิการร่วมว่าด้วยความร่วมมือทวิภาคี ครั้งที่ ๑๔ (The Joint Commission for Bilateral Cooperation: JC) และการประชุมคณะกรรมการว่าด้วยยุทธศาสตร์การพัฒนาร่วมสำหรับพื้นที่ชายแดนระดับรัฐมนตรี ครั้งที่ 5 ระหว่างไทยกับมาเลเซีย (The Joint Development Strategy (JDS) for Border Areas) ซึ่งร่างบันทึกการประชุมทั้ง ๒ ฉบับนี้ จะมีการรับรองในการประชุมระหว่างวันที่ ๙-๑๐ สิงหาคม ๒๕๖๕ โดยประเทศไทยเป็นเจ้าภาพจัดประชุมที่กรุงเทพมหานคร หลังจากทั้งสองประเทศว่างเว้นการประชุมมานานกว่า ๖ ปี
ดาโต๊ะ เสรี ไซฟุดดิน อับดุลลาห์ รัฐมนตรีต่างประเทศมาเลเซียกล่าวว่า มาเลเซียและไทยยังต้องการก่อสร้างถนนที่เชื่อมด่านตรวจคนเข้าเมือง ศุลกากร กักกันและรักษาความปลอดภัย (ICQS) บูกิต กายู ฮิตัม และศูนย์ศุลกากร ตรวจคนเข้าเมือง และกักกันโรคสะเดา (CIQ) ในจังหวัดสงขลา
เขากล่าวกับเบอร์นามาว่า“ICQS และ CIQ มีความสำคัญมากตามลำดับ ในการปรับปรุงการเชื่อมโยงทางถนนและการค้าระหว่างชายแดนมาเลเซีย-ไทย”
สำหรับสาระสำคัญของร่างบันทึกการประชุมแต่ละฉบับมีดังนี้
ฉบับแรก: ร่างบันทึกการประชุมของการประชุมคณะกรรมาธิการร่วมว่าด้วยความร่วมมือทวิภาคี ครั้งที่ ๑๔ มีวัตถุประสงค์เพื่อติดตามความคืบหน้าความร่วมมือระหว่างไทยกับมาเลเซียอย่างรอบด้านและขับเคลื่อนความร่วมมือในทุกระดับทั้งในกรอบทวิภาคีและพหุภาคี โดยดำเนินการผ่านความร่วมมือในด้านต่างๆ อาทิ
ด้านการเมืองและความมั่นคง อาทิ ๑)กระชับความร่วมมือด้านความมั่นคงตามแนวชายแดนมากขึ้น เตรียมพร้อมรับมือกับการก่อการร้ายและอาชญากรรมข้ามชาติ และร่วมมือแก้ไขประเด็นบุคคลสองสัญชาติและสถานการณ์ในจังหวัดชายแดนภาคใต้ของไทย ๒)ขจัดการลักลอบค้ายาเสพติด ๓)ความร่วมมือด้านการทหาร
ด้านเศรษฐกิจ การค้า การลงทุน และการท่องเที่ยว อาทิ ๑)ตั้งเป้าการค้าร่วมกันที่ 30,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐ ภายในปี 2568 ๒)อำนวยความสะดวกด้านการค้าและการลงทุนข้ามแดน ๓)เชื่อมโยงของโครงสร้างพื้นฐาน เช่น ก่อสร้างท่าอากาศยานแห่งใหม่ในพื้นที่ภาคใต้ของไทยและพื้นที่ทางเหนือของมาเลเซีย ๔)ร่วมมือด้านแรงงาน โดยไทยขอให้มาเลเซียพิจารณาการอำนวยความสะดวกให้แรงงานไทยจากจังหวัดชายแดนภาคใต้ไปทำงานในมาเลเซีย
ด้านสังคมและวัฒนธรรม อาทิ ๑)ให้มีการแข่งขัน Goodwill Games ต่อไป ซึ่งเป็นการแข่งขันกีฬาระหว่าง 5 จังหวัดชายแดนภาคใต้ของไทย กับ ๖ รัฐ ทางตอนเหนือของมาเลเซีย ๒)สร้างความเข้าใจด้านวัฒนธรรม ๓)รวบรวม แลกเปลี่ยนข้อมูล และพัฒนาฐานข้อมูลทรัพยากรทางธรณีวิทยาตามแนวชายแดน นอกจากนี้ ยังมีความร่วมมือในสาขาใหม่ๆ อาทิ การเชื่อมโยงการชำระเงินระหว่างประเทศผ่านระบบดิจิทัลด้วย QR ระหว่างไทยกับมาเลเซีย
นางสาวรัชดากล่าวต่อว่า ฉบับที่สอง คือ ร่างบันทึกการประชุมคณะกรรมการว่าด้วยยุทธศาสตร์การพัฒนาร่วมสำหรับพื้นที่ชายแดนระดับรัฐมนตรี ครั้งที่ ๕ ระหว่างไทยกับมาเลเซีย มีวัตถุประสงค์เพื่อติดตามความคืบหน้าการดำเนินงานของคณะกรรมการฯ และแสดงเจตนารมณ์ร่วมในการส่งเสริมความร่วมมือด้านเศรษฐกิจในพื้นที่ชายแดนไทย – มาเลเซีย ซึ่งมีสาระสำคัญ อาทิ
๑.จัดทำร่างแผนยุทธศาสตร์คณะกรรมการว่าด้วยยุทธศาสตร์การพัฒนาร่วมสำหรับพื้นที่ชายแดนไทย – มาเลเซีย ปี ค.ศ.๒๐๒๒-๒๐๒๖ เพื่อเสริมสร้างเศรษฐกิจที่ยั่งยืนและยกระดับความเป็นอยู่ของประชาชนบริเวณชายแดน
๒.เชื่อมโยงโครงสร้างพื้นฐานที่ไร้รอยต่อตามพื้นที่ชายแดน เช่น เร่งรัดการก่อสร้างถนนเชื่อมต่อด่านศุลกากรสะเดาแห่งใหม่ – ด่านบูกิตกายูฮิตัม บูรณาการเชื่อมต่อรถไฟทางคู่เส้นทางระหว่างเมืองอีโปห์ – เมืองปาดังเบซาร์ และเมืองปาดังเบซาร์ – อำเภอหาดใหญ่ เร่งรัดการก่อสร้างสะพานข้ามแม่น้าโก-ลกแห่งใหม่ ที่อำเภอตากใบ – เปิงกาลันกุโบร์ และสะพานมิตรภาพสุไหงโกลก – รันเตาปันยัง แห่งที่ ๒
๓.เชื่อมโยงเขตเศรษฐกิจพิเศษชายแดนระหว่างไทยกับมาเลเซีย โดยในพื้นที่ฝั่งไทย ได้แก่ นิคมอุตสาหกรรมภาคใต้ที่ จังหวัดสงขลา เขตเศรษฐกิจพิเศษ จังหวัดนราธิวาส ที่จะจัดตั้งใหม่
๔.การพัฒนาทรัพยากรมนุษย์และความร่วมมือด้านการเงินและการธนาคาร อาทิ
๑)จัดอบรมทักษะอาชีพ การสนับสนุนวิสาหกิจชุมชน และการแลกเปลี่ยนนักศึกษาในพื้นที่ชายแดนไทย – มาเลเซีย ๒)แลกเปลี่ยนการพัฒนาระบบการเงินอิสลาม และบทบาทของสถาบันการเงิน เพื่อให้ความช่วยเหลือแก่กลุ่ม MSME และนักธุรกิจท้องถิ่นในพื้นที่ชายแดน