หลังจากที่สื่อของสหรัฐฯ ได้รายงานข้อมูลว่า ที่ผ่านมาสหรัฐฯอนุมัติความช่วยเหลือทางเศรษฐกิจและทางทหารแก่ยูเครนไปแล้วมากกว่า 54,000 ล้านดอลลาร์นับตั้งแต่เดือนกุมภาพันธ์ ส่วนอังกฤษสัญญามอบความช่วยเหลือด้านการทหารเกือบ ๆ 3,000 ล้านดอลลาร์ และอียูส่งมอบอาวุธแก่ยูเครนอีก 2,500 ล้านดอลลาร์
โดยอาวุธยุทโธปกรณ์ต่าง ๆ นานา ไล่ตั้งแต่ปืนไรเฟิล ระเบิด ขีปนาวุธต่อต้านรถถีง ไปจนถึงระบบจรวดหลายลำกล้อง ถูกลำเลียงออกจากคลังแสงของตะวันตกมุุ่งหน้าสู่ยูเครน เกือบทั้งหมดผ่านทางโปแลนด์ แต่ยังมีรายงานด้วยว่ามีน้อยครั้งมากที่การส่งมอบจะเป็นไปอย่างราบรื่น รายงานของซีบีเอสนิวส์เปิดเผยเมื่อสัปดาห์ที่แล้วว่า “อาวุธทั้งหมดถูกลำเลียงข้ามชายแดน และจากนั้นก็มีบางอย่างเกิดขึ้น มีแค่ราว ๆ 30% ไปที่ถึงจุดหมายปลายทาง”
ล่าสุดเพนตากอน ได้มอบความช่วยเหลือทางทหารรอบใหม่แก่ยูเครนอีก 1,000 ล้านดอลลาร์ ในนั้นรวมถึงเพิ่มเติมระบบจรวด Himars ที่มีความแม่นยำสูง ซึ่งสามารถช่วยกองกำลังเคียฟโจมตีทหารรัสเซียที่อยู่ไกลออกไปหลังแนวหน้า
โดยโคลิน คาห์ล ปลัดกระทรวงกลาโหมสหรัฐฯ ได้ระบุว่า “อาวุธเหล่านี้มีแสนยานุภาพที่สำคัญยิ่งสำหรับช่วยเหลือยูเครนปัดเป่าการรุกรานของรัสเซียในภาคตะวันออก และยังช่วยจัดการกับสถานการณ์ที่ค่อยๆ ปรากฏขึ้นในภาคใต้และที่อื่นๆ” ความเคลื่อนไหวล่าสุด ส่งผลให้จำนวนเงินช่วยเหลือด้านความมั่นคงที่สหรัฐฯ มอบให้ยูเครน นับตั้งแต่รัสเซียเปิดฉากรุกรานประเทศแห่งนี้เมื่อวันที่ 24 กุมภาพันธ์ ขยับขึ้นไปแตะระดับ 9,100 ล้านดอลลาร์สหรัฐแล้ว
อีกทั้งธนาคารโลก (เวิลด์แบงก์) เปิดเผยว่า ทางธนาคารกำลังอยู่ในกระบวนการโอนเงินจำนวน 4,500 ล้านดอลลาร์เพื่อช่วยเหลือเศรษฐกิจยูเครน ซึ่งเงินดังกล่าวถือเป็นเงินให้เปล่าจากสหรัฐฯ เพื่อช่วยเหลือเยียวยายูเครนจากผลกระทบของการที่รัสเซียส่งกำลังทหารบุกโจมตีด้วย
อย่างไรก็ตาม เพิ่งมีกระแสประชาชนในสหรัฐฯออกมาวิพากษ์วิจารณ์ว่า เศรษฐกิจในประเทศกำลังตกต่ำถึงขีดสุด และมีการโทษว่าเป็นเพราะไบเดน แม้ว่าไบเดนจะให้สัญญาว่าจะฟื้นฟูเศรษฐกิจ ก็ไม่ทำให้ประชาชนเชื่อมั่นอีกแล้ว รวมทั้งไบเดนเอง ยังเชื่อว่า การที่รัสเซียสูญเสียกำลังพลในการรบไปจำนวนมาก จะทำให้ยูเครนชนะ และฝ่ายของสหรัฐฯ-นาโต้ ที่สนับสนุนยูเครน ได้ชนะไปด้วย แต่ในทางความเป็นจริง ยังไม่มีอะไรที่ชี้ชัดว่า ยูเครนจะมีชัยเหนือสงครามครั้งนี้
