จากกรณีที่ประธานหน่วยงานกำกับดูแลพลังงานแห่งชาติของเยอรมันออกมาเปิดเผย เมื่อปลายเดือนก.ค. 2565 หวั่นว่าเยอรมนีไม่มีก๊าซสำรองเพียงพอในช่วงฤดูหนาว หากไม่มีก๊าซของรัสเซีย และถูกจำกัดการส่งออกท่อก๊าซ และเมื่อสัปดาห์ก่อน หลายชาติในยุโรปเริ่มประสบปัญหาในการใช้ชีวิตกับท่าทีดังกล่าวของรัสเซีย เพราะฤดูหนาวก็ใกล้เข้ามาแล้ว ถ้าไม่มีพลังงาน อากาศหนาวในยุโรปที่หนักหนาสาหัสกว่าชาติเอเชียหลายเท่า ประชาชนในยุโรปจะอยู่อย่างไร
ขณะที่เยอรมัน ได้มีมาตรการทยอยปิดไฟ กำหนดใช้น้ำร้อน-เย็น โดยในเมือง Hanover นั้นตั้งอยู่ทางทิศตะวันตกเฉียงเหนือของเยอรมนีและเป็นเมืองแรกที่เริ่มออกมาตรการเช่นนี้ มีคำสั่งให้ปิดน้ำร้อนสำหรับอาบน้ำในห้องน้ำของศูนย์พักผ่อนในตัวเมืองด้วย
ทั้งนี้ ตัวอาคารของเทศบาลเมืองจะได้รับความร้อนระดับอุณหภูมิห้องไม่เกิน 20 องศาเซลเซียสในช่วงระหว่างวันที่ 1 ตุลาคมถึง 31 มีนาคม และห้ามใช้เครื่องปรับอากาศเคลื่อนที่และพัดลมฮีทเตอร์หรือพัดลมทำความร้อน คำสั่งดังกล่าวยกเว้นไว้สำหรับเนิร์ซเซอรี่ โรงเรียน สถานที่ดูแลผู้สูงอายุและโรงพยาบาล เรื่องนี้ Belit Onay ผู้ว่าการรัฐจากพรรคกรีนระบุว่า นี่เป็นสถาการณ์ที่ไม่สามารถคาดการณ์ได้ ทุกๆ กิโลวัตต์-ชั่วโมงนั้นมีคุณค่ามาก เราจำเป็นต้องปกป้องโครงสร้างพื้นฐานของเราเป็นอันดับแรก ๆ
ล่าสุดการคว่ำบาตรของชาติตะวันตกทำให้ความตึงเครียดระหว่างยุโรปและรัสเซียรุนแรงขึ้น ส่งผลให้ธุรกิจต่าง ๆ ในเยอรมนี รวมถึงฌาปนสถาน (สถานที่เผาศพ) กำลังพัฒนาแผนฉุกเฉินเพื่อรับมือกับต้นทุนก๊าซที่พุ่งสูงขึ้นและความเสี่ยงจากการถูก Gazprom บริษัทก๊าซยักษ์ใหญ่ของรัสเซียตัดอุปทานก๊าซ
โดยประธานสมาคมฌาปนกิจในเยอรมนี กล่าวว่า ฌาปนสถานได้ปิดเตาเผาบางส่วน ในขณะที่เปิดใช้เตาเผาอื่น ๆ อย่างต่อเนื่อง เพื่อให้เตาเผาเหล่านั้นไม่เย็นตัวลง และไม่ต้องใช้ก๊าซปริมาณมากในการทำให้ร้อนใหม่ ซึ่งวิธีนี้ สามารถลดปริมาณก๊าซที่ใช้ได้มากถึง 80% ในอนาคตหากเกิดกรณีที่จะต้องมีการจัดสรรปันส่วนก๊าซ ทางภาครัฐควรจัดให้ธุรกิจฌาปนกิจอยู่ในอันดับต้นๆ เนื่องจากเตาเผาศพจะไม่สามารถใช้งานได้หากไม่มีก๊าซ และ ‘ความตายไม่สามารถห้ามกันได้’
ส่วนทางด้านนายกสมาคมสัปเหร่อของเยอรมนี กล่าวว่า จากจำนวนผู้เสียชีวิตประมาณหนึ่งล้านคนในเยอรมนีทุกปี การฌาปนกิจเป็นพิธีศพที่ได้รับความนิยมมากที่สุด โดยคิดเป็นสัดส่วนราว 75% หรือราว 750,000 ราย/ปี ซึ่งเมื่อเทียบกับประเทศอื่น ๆ ในยุโรป ถือเป็นตัวเลขที่สูงมาก ในระยะเวลาอันใกล้ การลดอุณหภูมิขั้นต่ำของเตาเผาจากปัจจุบันที่เซ็ตไว้ที่ 850 องศาเซลเซียส เป็น 750 องศาเซลเซียส ซึ่งสามารถประหยัดก๊าซได้ราว 10% – 20% ก็เป็นอีกทางเลือกหนึ่ง
