เจ้าชายซาอุฯของจริง! ไม่เพิ่มผลิตน้ำมันให้สหรัฐ แถมโต้กลับตะวันตก ผลิตน้อยที่สุดหนหนึ่งในประวัติศาสตร์

0

จากที่ประธานาธิบดี โจ ไบเดน เยือนซาอุดีอาระเบีย เมื่อวันที่15 กรกฎาคม 2565 มีการพูดกรณีลอบสังหารจามาล คาช็อกกี ซึ่งหน่วยข่าวกรองสหรัฐฯ กล่าวหาว่า เจ้าชายโมฮัมเหม็ด แต่พระองค์ปฏิเสธ รวมทั้งการขอซาอุฯเพิ่มผลิตน้ำมันด้วยนั้น

โดยนายไบเดน เปิดเผยได้หยิบยกประเด็นนี้ขึ้นมาพูดกับเจ้าชายโมฮัมเหม็ด ระบุว่าพระองค์ต้องรับผิดชอบต่อการฆาตกรรมนายคาช็อกกี ซึ่งเกิดขึ้นภายในสถานกงสุลซาอุดีอาระเบีย ในนครอิสตันบูลของตุรกี เมื่อปี 2561 และขอให้มีมาตรการเพื่อไม่ให้เกิดความผิดพลาดซ้ำอีก

ขณะที่ นายอาเดล อัล-จูเบียร์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงต่างประเทศซาอุดีอาระเบีย กล่าวว่า เจ้าชายโมฮัมเหม็ดตรัสว่ากรณีของนายคาช็อกกีนั้นเป็นความผิดพลาดอันเลวร้าย “ประธานาธิบดีไบเดนยกประเด็นนี้ขึ้นมา มกุฎราชกุมารจึงตอบกลับไปว่า นี่เป็นกรณีที่น่าเจ็บปวดสำหรับซาอุดีอาระเบีย และเป็นความผิดพลาดที่เลวร้าย”

พระองค์ก็ทรงย้ำว่า การพยายามใช้กำลังยัดเยียดค่านิยมของตัวเองแก่ประเทศอื่น อาจทำให้เกิดผลตรงกันข้ามกับที่ตั้งใจเอาไว้ “เจ้าฟ้าชายบอกกับประธานาธิบดีว่า ความผิดพลาดเช่นนี้ก็เกิดขึ้นในประเทศอื่นๆ และเราได้เห็นความผิดพลาดแบบนี้เกิดขึ้นด้วยฝีมือของสหรัฐฯ ที่เรือนจำ อาบู กราอิบ (ในอิรัก)” นายจูเบียร์ กล่าว

ต่อมาสำนักข่าวต่างประเทศรายงานจากเมืองเจดดาห์ ประเทศซาอุดีอาระเบีย วันที่ 17 กรกฎาคม ว่า เจ้าชายโมฮัมเหม็ด บิน ซัลมาน มกุฎราชกุมารแห่งซาอุดีอาระเบีย ทรงมีพระราชดำรัส ว่าเป้าหมายการผลิตน้ำมันของซาอุดีอาระเบียยังคงเป็นไปตามที่เคยประกาศไว้ เมื่อเดือน พฤษภาคม ที่ผ่านมา ว่าจะเพิ่มเป็นสูงสุด 13 ล้านบาร์เรลต่อวัน ภายในปี 2570 จากปัจจุบันอยู่ที่วันละ 10-11 ล้านบาร์เรล และจะไม่มีการเพิ่มมากกว่านั้นอีก

ทั้งนี้ หนึ่งในเป้าหมายสำคัญของการเยือนซาอุดีอาระเบีย โดยประธานาธิบดีโจ ไบเดน  คือการขอให้รัฐบาลริยาดและสมาชิกองค์การกลุ่มประเทศผู้ส่งน้ำมันออก ( โอเปก ) เพิ่มกำลังการผลิตน้ำมันอีก เพื่อช่วยลดราคาเชื้อเพลิงในตลาดโลก และบรรเทาความรุนแรงของอัตราเงินเฟ้อในสหรัฐ ที่สถิติตอนนี้พุ่งไปสูงสุดในรอบ 4 ทศวรรษ

ล่าสุดวันนี้ 05 สิงหาคม 2565 สื่อต่างประเทศรายงานว่า โอเปกพลัสเตรียมปรับเป้าหมายการผลิตน้ำมันอีก 100,000 บาร์เรล น้อยที่สุดหนหนึ่งในประวัติศาสตร์ของทางกลุ่ม เหมือนเป็นการดูหมิ่น ประธานาธิบดีโจ ไบเดน แห่งสหรัฐฯ หลังจากเขาลงทุนบินไปซาอุดีอาระเบีย เพื่อขอให้ผู้นำกลุ่มผู้ผลิตแห่งนี้ผลิตน้ำมันเพิ่มเติมเพื่อช่วยเหลือเศรษฐกิจอเมริกา และเศรษฐกิจโลก

การปรับเพิ่มครั้งนี้ซึ่งคิดเป็นสัดส่วนแค่ 0.1% ของอุปสงค์โลก มีขึ้นตามหลังความคาดหวังว่า การเดินทางเยือนตะวันออกกลางของไบเดน และวอชิงตันอนุมัติขายระบบป้องกันขีปนาวุธแก่ริยาด และสหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ จะช่วยนำพาน้ำมันไหลสู่ตลาดโลกเพิ่มเติม

การปรับเพิ่ม 100,000 บาร์เรลต่อวัน ถือเป็นการปรับขึ้นการผลิตน้อยที่สุดหนหนึ่งในประวัติศาสตร์ นับตั้งแต่โอเปกเริ่มนำระบบโควตามาใช้ในปี 1982 ซึ่งโอเปก และพันธมิตรที่นำโดยรัสเซีย หรือที่เรียกว่าโอเปกพลัส ซึ่งก่อตั้งขึ้นในปี 2017 กำลังปรับเพิ่มกำลังผลิตราว 430,000 -650,000 บาร์เรลต่อเดือน

ในวันอังคาร (2 ส.ค.) วอชิงตันอนุมัติขายระบบขีปนาวุธป้องกันตนเองมูลค่า 5,300 ล้านดอลลาร์สหรัฐ แก่สหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ และซาอุดีอาะเบีย แม้ว่าพวกเขายังไม่ปลดคำสั่งแบนขายอาวุธร้ายแรงแก่ริยาดก็ตาม โอเปกพลัส ซึ่งมีกำหนดประชุมครั้งถัดไปในวันที่ 5 กันยายน ระบุในถ้อยแถลงว่าศักยภาพส่วนเกินที่มีอย่างจำกัดของพวกเขา จำเป็นต้องใช้ด้วยความระมัดระวังอย่างยิ่ง ในการตอบสนองต่อความปั่นป่วนทางอุปทานอย่างรุนแรง

อย่างไรก็ตามประธานาธิบดีเอ็มมานูเอล มาครง แห่งฝรั่งเศส เคยบอกว่าซาอุดีอาระเบีย และสหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ มีศักยภาพจำกัดมากในการยกระดับการผลิต