“สนธิญาณ” ชี้เปรี้ยง “ลุงตู่”เก่งกว่า “ทรัมป์” แก้โควิด19 เป็นยังไงละ “USA” ชอบเผือก ว่าไทยเป็นเผด็จการ ข้ออ้างประชาธิปไตยไม่มีจริง
ในรายการ “ทิศทางไทยในช่วงเวลา 00.00 กับ สนธิญาณ” ทางช่องสถาบันทิศทางไทย เผยแพร่ผ่านทางยูทูป ทางด้าน “สนธิญาณ ชื่นฤทัยในธรรม” ได้แสดงความคิดเห็นเกี่ยวกับสถานการณ์การแพร่ระบาดของไวรัสโควิด19 ในประเทศไทย ระบุว่า…
อยากจะพูดเรื่องประเทศสหรัฐอเมริกานิดหน่อย แต่ไม่ได้เป็นการซ้ำเติมกับสถานการณ์โควิด-19 ที่สหรัฐฯกำลังเผชิญอยู่ขณะนี้
แต่เนื่องจากว่าเมื่อวันที่ 8 เม.ย. ที่ผ่านมา เอกอัครราชทูตสหรัฐฯ ประจำประเทศไทย คนใหม่ “ไมเคิล จอร์จ ดีซอมบรี” ได้เข้าเยี่ยมเคารวะลุงตู่ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีของไทย 2ประเทศพบปะกันระหว่างท่านทูตกับผู้นำประเทศ การพูดจาก็อัธยาศัยที่ดีต่อกันภายใต้สิ่งที่ถูกสร้างภาพมานาน ว่าความสัมพันธ์ระหว่างสหรัฐฯกับไทยนั้นยืนยาวมานับเป็นร้อย ๆปี ความช่วยโยงช่วยเหลือดูแลกันด้วยดีตลอดมา
“สนธิญาณ” ย้ำว่าสิ่งที่อยากจะเรียน อย่าลืมว่าภายใต้สถานการณ์นี้ กำลังเกิดวิกฤติโควิด-19 ทั้งที่สหรัฐฯและไทย
เมื่อวันที่3เม.ษ.ที่ผ่านมา ท่านทูตจอร์จ ดีซอมบรี ได้พูดกับพนักงานสถานทูตสหรัฐฯ ประจำประเทศไทย ในการประชุม Town Hall ผ่านระบบออนไลน์กล่าวว่า “ผมบอกกับทุกคนได้เลยว่า ผมมั่นใจอย่างยิ่งว่ากรุงเทพฯ จะเป็นที่ที่ดีมากสำหรับครอบครัวของผมในช่วงวิกฤตนี้” ต้องขอบคุณท่านทูตที่ชื่นชมกรุงเทพฯ เท่ากับชื่นชมประเทศไทย แต่ต้องย้อนรอยไปดูอดีตว่าสหรัฐฯ ทูตสหรัฐฯ กับไทย ในช่วงหลังๆเป็นอย่างไร
ย้อนกลับไปตั้งแต่ทูตคริสตี้ เคนนี่ย์ หรือ ทูตกลิน ที เดวีส์ ทั้งสองคนเหยียบย่ำซ้ำเติมกระทืบซ้ำประเทศไทยตลอดมา ในช่วงของการเปลี่ยนรัฐบาล โดยเฉพาะการรัฐประหารของพล.อ.ประยุทธ์และกองทัพ สิ่งที่ด่าอยู่ตลอดนั้นก็คือ เผด็จการ ไม่เป็นประชาธิปไตย แต่ก็ไม่ได้กล่าวหาเฉยๆ ซึ่งที่ผ่านมาลงไปเคลื่อนไหวกับฝ่ายที่ตรงกันข้ามกับกองทัพและพล.อประยุทธ์ ไม่ว่าจะไปเยี่ยมหมู่บ้านเสื้อแดง ไปให้กำลังใจ ไปรับฟังปัญหา หรือลงไปจะทำโครงการนักศึกษา แลกเปลี่ยนเพื่อไปดูการปกครองในระบบประชาธิปไตยกับมหาวิทยาลัยต่าง ๆ โดยเฉพาะในภาคอีสาน ซึ่งมีเครือข่ายระบบความคิดของคนเสื้อแดงครอบงำอยู่ ไปเยี่ยมสื่อของคนเสื้อแดงไม่ว่าจะเป็นวิทยุชุมชนหรือสื่อประชาไท ที่กล่าวมาคือการเคลื่อนไหวของทูตสหรัฐฯทั้งสองคนในช่วงระยะเวลาที่ผ่านมา
“สนธิญาณ” กล่าวต่อว่า ใต้ข้ออ้างที่เรียกว่าประชาธิปไตย แล้วชี้หน้าไทยว่าเผด็จการ ไม่ใช่เรื่องที่เป็นข้อเท็จจริง แต่ข้อเท็จจริงคือสหรัฐฯโกรธลุงตู่และกองทัพไทย ในสมัยที่ “น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร” เป็นนายกรัฐมนตรี ซึ่งสหรัฐฯขอเข้ามาใช้ฐานทัพอู่ตะเภา โดยน.ส.ยิ่งลักษณ์ อนุมัติทันที ทั้งที่ก่อนหน้านั้นสหรัฐฯไม่ให้ “นายทักษิณ ชินวัตร” เข้าประเทศ เหตุผลเพราะบอกว่านายทักษิณเป็นคนที่มีปัญหา แต่ทันทีที่น.ส.ยิ่งลักษณ์อนุมัติให้สหรัฐฯมาใช้ฐานทัพอู่ตะเภาได้ ภายใต้ข้ออ้างที่บอกว่าจะมาใช้เพื่อตรวจสภาพอากาศ ดารัตน์ก็อนุญาตให้นายทักษิณเข้าประเทศได้เลย
“ปรากฏว่ามีกระดูกติดคอชิ้นหนึ่งนั่นก็คือผู้บัญชาการทหารสูงสุด กองบัญชาการกองทัพไทย และสามเหล่าทัพ ทำหนังสือคัดค้านน.ส.ยิ่งลักษณ์ จึงทำให้สหรัฐแห้ว และนี่เป็นสาเหตุที่ทำให้สหรัฐโกรธเคืองลุงตู่และกองทัพตลอดมา “ สนธิญาณกล่าว
ดังนั้นภาพการเคลื่อนไหวที่ว่าประชาธิปไตยหรือเผด็จการ สหรัฐฯสนับสนุนการเคลื่อนไหวที่เป็นประชาธิปไตยไม่เอาเผด็จการ ตนจะขอย้อนรอยไปดูประวัติศาสตร์ชาติไทยที่ผ่านมา จอมพล ป. พิบูลสงคราม จอมเผด็จการ ได้รับการสนับสนุนจากสหรัฐฯตลอดมา จอมพลสฤษดิ์ ธนะรัชต์ ลูกน้องจอมพล ป. ใคร ๆก็รู้กันว่ายิ่งเป็นจอมเผด็จการ แต่สหรัฐฯกับจอมพลสฤษดิ์มีความสัมพันธ์แนบแน่นสนับสนุนกันอย่างเต็มที่ หัวใจของสหรัฐคือจอมพลสฤษดิ์ จึงไม่ต้องพูดถึงประชาธิปไตย
เมื่อจอมพลสฤษดิ์เสียชีวิตลง จอมพลถนอม กิตติขจร ขึ้นมาเป็นผู้นำประเทศเป็นนายกรัฐมนตรี สหรัฐฯก็เข้าสนับสนุนอย่างเต็มที่เพราะสหรัฐฯต้องการใช้ไทยเพื่อเป็นด่านหน้าในการรบกับคอมมิวนิสต์ในอินโดจีนนั่นก็คือ เวียดนาม ลาว และเขมร ซึ่งไทยส่งทหารไปร่วมรบกับทหารสหรัฐฯ ไทยก็เลยดี ไม่เกี่ยวที่เป็นประชาธิปไตยหรือเผด็จการ และ สหรัฐฯเองก็ได้ชื่นชมไทยตลอดมา
อย่างไรก็ตามหลังจากเกิดแรงกระทบในเรื่องฐานทัพอู่ตะเภาซึ่งสหรัฐฯอยากได้เป็นอย่างมาก นั่นก็เพราะฐานทัพอู่ตะเภานั้นสหรัฐฯมาสร้างเอง เป็นฐานทัพที่มีความพร้อมทั้งเครื่องบินรบในการขึ้นบินและเรือรบสามารถเข้าจอดได้ เป็นศูนย์กลางทางยุทธศาสตร์ที่เครื่องบินสามารถบินไปทุกที่ทุกทางในเอเชีย ทำให้การบินนั้นมีระยะเวลาที่พอเหมาะพอดีเกือบเท่ากัน
“สนธิญาณ” กล่าวต่อว่า ต้องพิจารณาสหรัฐฯที่ชอบกล่าวหาคนอื่นว่าเป็นเผด็จการเลวอย่างนู้น เลวอย่างนี้ แต่ตนเองดีอย่างนู้น ดีอย่างนี้ ซึ่งวันนี้ปรากฎชัดว่าสหรัฐฯนั้น ข้างนอกสดใส ข้างในกลวงโบ๋ก็เป็นได้
ในสถานการณ์โควิด-19 วันนี้สหรัฐฯขึ้นเป็นอับดับหนึ่ง ชาวอเมริกันติดโควิด-19ไปแล้ว 3-4แสนราย เสียชีวิตอีก หมื่นกว่าราย ขณะที่ไทยมียอดผู้ติด 2พันกว่าราย เสียชีวิต30ราย หลายท่านอาจจะแย้งว่าสหรัฐฯมีจำนวนพลเมืองที่มากกว่า ประเทศใหญ่กว่า ..ใช่!ใหญ่กว่า แต่จำนวนพลเมืองมากกว่าไทย 3-4เท่าตัว เท่านั้น
แต่โดยข้อเท็จจริงสหรัฐฯคนที่ติดโควิด-19 มากกว่าไทย150เท่า ไม่ใช่แค่3-4เท่า ถ้าเก่งเท่าไทย สหรัฐก็ควรจะมีผู้ติดโควิด-19 เพียง 6พัน-หนึ่งหมื่นราย ส่วนผู้เสียชีวิตสูงกว่าไทยถึง370เท่า นั้นแปลว่าระบบการจัดการของพล.อ.ประยุทธ์เก่งกว่าทรัมป์ เป็นอย่างอื่นไม่ได้
ประเด็นถัดมาคือระบบสาธารณสุขของไทยซึ่งได้รับการยอมรับว่าเป็นอันดับ 6 ของโลก ดีกว่าสูงกว่าสหรัฐฯ ซึ่งการพิสูจน์ก็ได้เห็นแล้วว่าการทำงานของทีมแพทย์ไทย บุคลากรทางการแพทย์ของไทยที่ทุ่มเททำงาน ขณะที่สหรัฐฯด้วยระบบคิดแบบทุนนิยมภายใต้ระบอบประชาธิปไตยทุกคนเป็นใหญ่ ทุกคนคิดถึงเรื่องตัวเองก่อน คนที่ติดเยอะๆเพราะไม่ยอมฟัง ทรัมป์ประกาศภาวะฉุกเฉินก่อนพล.อ.ประยุทธ์ แต่เมื่อพอนิวยอร์กต้านขึ้นมาก็อะลุ่มอล่วย บอกว่าประชาธิปไตยก็ไม่ได้เพราะต้องเดินกฎหมาย แต่พอคนอื่นทำตามกฎหมาย เช่นศาลไทยก็เข้ามาละลาบละล้วงศาลไทยเสียด้วยซ้ำ แบบนี้ขอให้คนไทยภาคภูมิใจในความเป็นไทยและเลิกบ้าคลั่งคำว่าประชาธิปไตยเสียที