หลังจากที่นานาชาติต่างจับตามองว่า ความตึงเครียดของจีนและสหรัฐฯ จะนำพาไปสู่สงครามได้หรือไม่นั้น ก็มีท่าทีการเคลื่อนไหวของนานาประเทศ ที่ประกาศยืนเคียงข้างจีน และสนับสนุนความเป็น one china ซึ่งปมเดือดในครั้งนี้ เป็นหนึ่งในแผนการที่สหรัฐฯ ต้องการหนุนให้ไต้หวัน แยกประเทศออกจากจีน
แต่ท่าทีอีกมุมหนึ่งที่น่าสนใจ คือยูเครน ที่ไม่ได้ออกมาตอบโต้ หรือเปิดเผยประเด็นเรื่องไต้หวันต่อสื่อเลย แต่กลับรูดซิปปาก ไม่พูดถึงสหรัฐฯเดินทางไปไต้หวัน และปมสงครามที่อาจจะเกิดขึ้น
โดยสื่อ Sputnik News สื่อรัสเซีย ได้ออกมาประธานาธิบดีเซเลนสกีผู้นำยูเครน ว่าเก็บปากเงียบไม่แสดงท่าทีวิพากษ์วิจารณ์หรือโต้ตอบต่อประเด็นช่องแคบไต้หวัน หลัง “แนนซี โปโลซี” ประธานสภาคองเกสสหรัฐเยือนไทเป พบว่า “รัฐบาลจีนเป็นหนึ่งในเจ้าหนี้รายใหญ่ของยูเครน” นอกจากเจ้าหนี้กลุ่มพันธมิตร (เยอรมนี สหราชอาณาจักร และสหรัฐฯ)
อย่างไรก็ตามยังพบว่า ปักกิ่งได้ช่วยเหลือด้านมนุษยธรรมแก่เคียฟมาโดยตลอดในช่วงต้นสงครามมากกว่า 4.9 ล้านเหรียญฯ หรือประมาณ 180 ล้านบาทรวมถึงเวชภัณฑ์และอาหารมากกว่า 3.8 ต้น
ทั้งนี้รัฐบาลปักกิ่งไม่ได้สนับสนุนความช่วยเหลือด้านอาวุธยุทโธปกรณ์ให้แก่เคียฟ รวมถึงไม่ออกเสียงประนามรัสเซียในที่ประชุมสหประชาชาติ (UN) ต่อกรณีรัสเซียรุกรานยูเครนเมื่อวันที่ 24 กุมภาพันธ์ 2565
ขณะที่ทางด้าน South China Morning Post สื่อดังของฮ่องกง ก็ได้รายงานถึงบทสัมภาษณ์พิเศษของประธานาธิบดีเซเลนสกี ผู้นำของยูเครน กล่าวว่า “อยากพูดคุยกับประธานาธิบดีสี จิ้นผิง ผู้นำของจีนเป็นการส่วนตัว เพราะเชื่อว่า ประธานาธิบดีสีของจีนมีอิทธิพลทั้งด้านการเมืองและด้านเศรษฐกิจต่อรัสเซียเป็นอย่างมาก และอาจจะมีส่วนช่วยให้กองทัพปูตินหยุดรุกรานยูเครนได้”
จึงให้น่าจับตามองว่า ยูเครนอาจจะเป็นตัวแปรเปลี่ยนเกมเช่นกัน เมื่อสหรัฐฯหนุนยูเครน ให้สู้กับรัสเซีย จนสภาพกองทัพจะรับมือไม่ไหว และยังจะเปิดศึกยุไต้หวันแยกดินแดน ยิ่งทำให้โอกาสเกิดสงครามของสหรัฐฯกับจีนมีเปอร์เซ็นต์สูงขึ้น และเมื่อจีนมีบุญคุณกับยูเครน ก็อาจจะทำให้ยูเครนต้องเลือก ว่าจะกลับมายืนข้างใคร ถึงจะรอด