บิ๊กตู่ชี้ ศก.ไทยโตต่อเนื่องร้อยละ ๓.๓ คาดปีหน้าแตะ ๔.๒ ผลจากเอกชนฟื้นตัว- นักท่องเที่ยวเข้าปท.กว่า ๖ ล้านคน ด้านส่งออกยังข่าวดี ขยายตัวร้อยละ๗,๙ ขอให้ทุกฝ่ายเชื่อมั่นสเถียรภาพการเงินประเทศ มั่นใจเตรียมกดอัตราเงินเฟ้อจากร้อยละ ๖.๒ เหลือ ๒.๕ ภายในปี2566
วันที่ ๒ ส.ค.๒๕๖๕ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และรมว.กลาโหม แถลงหลังเป็นประธานประชุมคณะรัฐมนตรี(ครม.)ว่า วันนี้ครม.รับทราบภาวะและแนวโน้มเศรษฐกิจไทยประจำไตรมาสที่ ๒ ปี ๒๕๖๕ โดยตนแจ้งครม.ทราบว่ามีหลายประเด็นมีแนวโน้มไปในทางที่ดี ซึ่งต้องแยกจากกันระหว่างเศรษฐกิจระดับมหภาคกับเศรษฐกิจระดับจุลภาค และประชาชนข้างล่างก็อีกเรื่องที่เราต้องแก้ปัญหาตรงนั้น แต่นี่คือภาพใหญ่ของประเทศที่เทียบเคียงกับทุกประเทศในโลก สรุปว่ามีแนวโน้มไปในทิศทางที่ดี แต่ยังมีประเด็นที่ยังต้องติดตาม โดยเฉพาะสถานการณ์ด้านการเงิน การคลังภายนอกประเทศเพื่อให้ทุกภาคส่วนใช้เป็นข้อมูลสำหรับประกอบกิจการและเตรียมการรับกับอนาคตที่จะมาถึง เนื่องจากเศรษฐกิจนั้นผูกติดกันหมดทั้งโลก
นายกรัฐมนตรี กล่าวว่า ในภาพรวมเศรษฐกิจไทยมีแนวโน้มขยายตัวอย่างต่อเนื่องร้อยละ ๓.๓ ในปีนี้ และคาดการณ์จะเพิ่มเป็นร้อย ๔.๒ ในปีหน้า จากการฟื้นตัวของการบริโภคภาคเอกชน และการซื้อของกลุ่มผู้มีรายได้สูงในประเทศในครึ่งปีหลัง รวมทั้งการเพิ่มขึ้นของจำนวนนักท่องเที่ยวต่างชาติ ที่ประมาณการอยู่ที่ 6 ล้านคน จากเดิมที่ประเมินไว้๕.๖ ล้านคน โดยเฉพาะเดือนนี้เพิ่มขึ้นถึง ๒ ล้านคน ถือเป็นการเพิ่มขึ้นจำนวนมากพอสมควรจากมาตรการเปิดประเทศของไทย และต่างประเทศที่เร็วกว่าที่คาดการณ์ไว้
ฉะนั้นในปี ๒๕๖๖คาดว่านักท่องเที่ยวน่าจะอยู่ที่ ๑๙ ล้านคน และภาคเศรษฐกิจก็คาดว่าจะมีการระดมทุนเพิ่มขึ้นต่อเนื่องให้สอดคล้องกับการฟื้นตัวของเศรษฐกิจ ทั้งนี้ เราต้องเร่งพิจารณาเป็นกรณีเร่งด่วนคือเรื่องค่าเงินบาท ที่มีผลต่อการนำเข้าและส่งออก
ซึ่งด้านการส่งออกสินค้าไทยถือเป็นข่าวดีที่แนวโน้มขยายตัว ร้อยละ ๗.๙ จากที่เดิมที่ประมาณการไว้ร้อยละ ๗.๐ และในปี ๒๕๖๖ คาดว่าจะขยายตัวต่อเนื่องอีก แต่ก็มีปัจจัยที่ทำการเกิดความผันแปรของผู้ค้าโดยเฉพาะกลุ่มประเทศเศรษฐกิจหลัก เช่น จีน โดยปัจจัยหนึ่งคืออัตราเงินเฟ้อที่เกิดขึ้นทั่วโลก จากผลของราคาพลังงานที่ปรับตัวสูงขึ้นส่งผ่านไปยังต้นทุนสินค้าต่างๆ
อัตราเงินเฟ้อของไทยปีนี้อยู่ที่ร้อยละ ๖.๒ แต่คาดว่าจะลดงเหลือร้อย ๒.๕ ในปี ๒๕๖๖ ขอให้ประชาชน และภาคธุรกิจเชื่อมั่นเสถียรภาพการเงินของไทยยังมันคงและแข็งแกร่งจากการดำเนินนโยบายการเงินการคลังที่รอบคอบและมีวินัยของเรา และเป็นที่เชื่อมั่นของนักวิเคราะห์ นักลงทุนต่างประเทศจากความสนใจในการเข้ามาลงทุนเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ ซึ่งเรื่องการลงทุนมีหลายอย่าง หลายประเทศ หลายโครงการ ที่ตนยังไม่สามารถชี้แจงได้เนื่องจากอยู่ช่วงการเจรจาร่วมกัน ทั้งโครงการขนาดใหญ่ ขนาดเล็กจำนวนมากพอสมควร
นายกรัฐมนตรี กล่าวว่า ” รัฐบาลไม่ได้นิ่งนอนใจต่อปัญหาเศรษฐกิจ โดยเฉพาะค่าครองชีพของประชาชน ซึ่งเราต้องแยกพิจารณา ส่วนนี้คือเศรษฐกิจระดับจุลภาค ประชาชนยังมีรายได้น้อยอยู่ เราให้ความสำคัญในเรื่องค่าครองชีพ และธุรกิจบางกลุ่มที่เปราะบาง ซึ่งเป็นกลุ่มเป้าหมายที่รัฐบาลให้ความสำคัญอย่างเร่งด่วนในการหามาตรกาดูแลช่วยเหลือต่อไป”
นายกฯกล่าวเพิ่มเติมว่า “ตนได้สั่งการ และติดตามหลายเรื่อง ทั้งนโยบายเร่งด่วน เช่น การลดอัตราภาษีน้ำมันดีเซล ๕ บาทต่อลิตร เป็นเวลา ๒ เดือน การจัดสรรที่ดินทำกินให้เกษตรกรมากกว่า ๑ หมื่นราย การประกันภัยข้าวนาปี ๒๙ ล้านไร่ การส่งเสริมการลงทุนในอีอีซี วันนี้มีผู้ขอรับการสนับสนุนแล้ว ๑๘๓ โครงการมูลค่าเกือบ ๑ แสนล้านบาท ทั้งหมดนี้มีการดำเนินการและเกิดประโยชน์ไปแล้ว ซึ่งจากที่ตน และครม.ลงพื้นที่ก็ได้ไปติดตามเรื่องเหล่านี้ อะไรที่มีปัญหาอุปสรรคก็จะแก้ไข อะไรไม่สามารถดำเนินการได้ก็ต้องปรับแผนงานเหล่านั้นให้เกิดประโยชน์สูงสุดในการใช่จ่ายงบประมาณ