หลังจากที่ราคาน้ำมันดิบพุ่งทะยานขึ้นไปเหนือ 100 ดอลลาร์ต่อบาร์เรล ไม่นานหลังรัสเซียเปิดฉากกับยูเครน และต่อมาทำให้ราคาพลังงานในสหรัฐฯพุ่งแบบฉุดไม่อยู่ ท่ามกลางเงินเฟ้อที่ซ้ำเติมประชาชนอย่างหนักด้วย ในปีนี้นับว่าสหรัฐฯต้องซื้อน้ำมันในราคาที่สูงลิ่วเป็นประวัติการณ์ แต่กลับมารายงานว่า เอ็กซอน โมบิล และเชฟรอฟ 2 บริษัทน้ำมันยักษ์ใหญ่สหรัฐฯ รายงานลผประกอบการรายไตรมาสสูงสุดเป็นประวัติการณ์
โดยข้อมูลดังกล่าว เปิดเผยเมื่อวันศุกร์ ที่ 29 ก.ค. ท่ามกลางสงครามในยูเครนที่เป็นเชื้อไฟโหมกระพือให้ราคาพลังงานพุ่งทะยาน ตัวเลขที่สะท้อนเสียงวิพากษ์วิจารณ์อย่างดุเดือดจากทำเนียบขาว เพราะเมื่อกลางเดือนก่อน ประธานาธิบดีโจ ไบเดน เคยออกมากล่าวหาบรรดาบริษัทน้ำมันทั้งหลายว่า “กำลังโกยเงินมากกว่าพระเจ้า”
ทั้งนี้ราคาน้ำมันที่สูงขึ้น ส่งผลให้เอ็กซอน โมบิล ทำกำไรสูงถึง 17,900 ล้านดอลลาร์ และเชฟรอนมีกำไร 11,600 ล้านดอลลาร์ ในช่วงไตรมาส 2 ที่เพิ่งผ่านพ้นไป ผลกำไรนี้ถูกเผยแพร่ออกมาตามหลังรายงานผลประกอบการลักษณะเดียวกันจากบรรดาบริษัทพลังงานยักษ์ใหญ่ของยุโรป โดยเชลล์ มีกำไร 18,000 ล้านดอลลาร์ โททาลเอเนอร์จีส์ มีกำไร 5,700 ล้านดอลลาร์ และเอนี มีกำไร 3,800 ล้านดอลลาร์
ส่วนทางด้านบาร์นี แซนเดอร์ส วุติสภาสหรัฐฯ จากเวอร์มอนต์ เรียกร้องให้จัดภาษีพิเศษที่รัฐเรียกเก็บเพิ่มเมื่อรายได้หรือกำไรของกิจการมีล้นเกินกว่าปกติหรือที่เรียกว่า Windfall Profit Taxes และเขาได้กล่าวอีกด้วยว่า “ในขณะที่คุณกำลังรู้สึกเจ็บปวดกับราคาตามสถานีบริการน้ำมัน เอ็กซอน และเชฟรอนโกยกำไร 46,000 ล้านดอลลาร์ ในช่วง 3 เดือนหลังสุดและบอกว่าจะใช้เงินสูงสุด 47,0000 ล้านดอลลาร์ ซื้อหุ้นคืน หลังจ่ายเงินไปแล้ว 18,800 ล้านดอลลาร์ในปีนี้”
ในเดือนมิถุนายน ไบเดน ประณามด้วยความดุเดือดว่า “เอ็กซอนทำเงินมากกว่าพระเจ้าในปีนี้” พร้อมโจมตีอุตสาหกรรมพลังงานต่อกรณีใช้เงินสดส่วนเกินซื้อหุ้นคืน แทนที่เพิ่มใช้จ่ายด้านการลงทุนที่มีความสำคัญอย่างมาก
ทั้ง 2 บริษัทได้รายงานผลประกอบการ มีรายได้เพิ่มขึ้นอย่างมาก โดยเอ็กซอนโมบิล เพิ่มขึ้น 71% เป็น 115,700 ล้านดอลลาร์ และเชฟรอฟ เพิ่มขึ้น 83% เป็น 69,000 ล้านดอลลาร์
อย่างไรก็ตาม ทั้ง 2 บริษัทซึ่งประสบปัญหาขาดทุนอย่างมากก่อนหน้านี้ในช่วงการแพร่ระบาดของโรคระบาดใหญ่โควิด-19 ท่ามกลางอุปสงค์พลังงานที่ดำดิ่ง ไม่ได้ใช้รายได้ที่กองเป็นภูเขาสืบเนื่องจากราคาที่พุ่งทะยานขยายเพดานการลงทุน โดยปัจจุบันยังคงอยู่ในระดับต่ำกว่าช่วงก่อนเผชิญโรคระบาดใหญ่
