ปลื้มไหม..ฝีมือรัฐบาลลุงตู่ฝ่าวิกฤตโควิด-19 ขนาดทูตสหรัฐยังบอกกรุงเทพฯเป็นที่ที่ดีมากสำหรับครอบครัว

0

ปลื้มไหม…วิกฤตไวรัสโควิด-19 อีกหนึ่งเครื่องพิสูจน์ฝีมือรัฐบาลลุงตู่ฝ่าวิกฤตโควิด-19 ขนาดทูตสหรัฐยังบอกกรุงเทพฯเป็นที่ที่ดีมากสำหรับครอบครัว

เกาะติดกันต่อเนื่องสำหรับสถานการณ์การแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโควิด-19ในประเทศไทย หลังจากที่ครม.มีมติเมื่อวาน (7เม.ย.63) เห็นชอบเลื่อนเปิดเทอมน้อง ๆ นักเรียน นักศึกษา ปีการศึกษา 2563 โดยเลื่อนการเปิดภาคเรียนที่หนึ่ง ปีการศึกษา 2563 จากเดิมวันที่ 16 พ.ค.63 เป็นวันที่ 1 ก.ค.63 เพื่อยับยั้งการระบาดภายในประเทศอย่างเคร่งครัด

แต่ทว่าพิธีกรปากกล้าช่องดัง อย่าง หม่อมหลวงณัฏฐกรณ์ เทวกุล หรือ  “ปลื้ม”  ดูจะออกแนวโมโห ลั่นด่าทุเรศ ไร้เหตุผลเลื่อนเปิดเทอม! ได้โพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊ก  M.L. Nattakorn Devakula ระบุว่า “1408 รายรักษาตัว ติดเชื้อเพิ่ม 38 เสียชีวิตเพิ่ม 1 เสนอเลื่อนเปิดเทอมไปหาอะไร?! การเรียนสำคัญ คิดหน่อยสิครับ เอะอะก็เลื่อนก็ปิด”

อีกทั้งหม่อมหลวงณัฏฐกรณ์ โพสต์ผ่านทวีตเตอร์อย่างต่อเนื่องดังนี้  “ให้เด็กกลับไปเรียน พอกันทีกับการปิดโรงเรียนอย่างไร้เหตุผล รัฐพรากการศึกษาไปจากลูกลูกหลานหลานของเรามานานพอเเล้ว ทั้งมหาวิทยาลัย โรงเรียนกวดวิชาเเละโรงเรียนอินเตอร์ รวมทั้งการเตรียมการเรียนการสอนในโรงเรียนของรัฐเเละเอกชนไทยปกติที่ต้องมีอยู่ในเวลานี้”

“ไม่มีเหตุผลรองรับสำหรับการให้ปิดสถานการศึกษาอีกต่อไป โดยเฉพาะอย่างยิ่งในเวลาที่การระบาดในประเทศไทยนั้นคุมอยู่ได้เเล้ว อัตราการติดเชื้อใหม่เเละเสียชีวิตถือว่าต่ำมาก เเละต่ำกว่าโรคอื่นเยอะหลายโรค รัฐบาลกรุณาถอยบ้าง”

“ไม่ใช่เเค่เศรษฐกิจที่ทำพังลงไปกับมือเเต่การดีเลย์การศึกษาออกไปคนที่ต้องจ่ายคือเด็กเเละเยาวชน รัฐต้องหยุดนโยบายที่มักง่ายเเละสิ้นคิด เอาโรงเรียนของลูกเราคืนมาเเล้วเอาเศรษฐกิจของเรากลับมาอีกด้วย มันคุมไวรัสได้ถึงเเม้ว่าเปิดทุกอย่าง ฝึก Physical Distancing ให้กับทุกคน”  และ “เด็กไม่ได้เรียนหนังสือเเต่พวกคุณได้มาทำงานเหรอครับ? ขอร้อง..ทุเรศ”

อย่างไรก็ตามในข้อเท็จจริงยังมีเสียงผู้ปกครองหลายคนที่ขานรับกับมาตรานี้ ใช่ว่าพวกเขาจะไม่อยากให้บุตรหลานได้รับการศึกษา แต่ด้วยเหตุผลด้านความปลอดภัยของชีวิตเป็นสำคัญ  ที่รอเวลาให้ไวรัสโควิด-19 หายไปจากประเทศไทยเสียก่อนดีกว่าที่จะให้บุตรหลานอันเป็นที่รักต้องเอาชีวิตไปเสี่ยงกับโควิด-19

แน่นอนว่าจะต้องมีการประเมินจากผู้ที่เกี่ยวข้องแล้วว่าในเดือนก.ค. มีความเป็นได้ได้สูงว่าจะสามารถควบคุมสถานการณ์ได้  ซึ่งหากไม่ใช่การจัดการที่เคร่งครัดและรัดกุม อย่างฉบับ”ลุงตู่ เรียกว่า “กันไว้ก่อนแก้” จะทำให้สถานการณ์การแพร่ระบาดโควิด-19 เส้นกราฟยอดผู้ติดเชื้อใหม่หัวทิ่มดิ่งลงจนหลายฝ่ายโล่งออกโล่งใจได้เร็วแบบนี้หรือไม่  ถึงขนาดที่เอกอัครราชทูตสหรัฐ  (ประเทศที่หม่อมหลวงณัฏฐกรณ์ นิยมชมชอบ ประชาธิปไตย) ยังแสดงความมั่นใจว่า กรุงเทพฯประเทศไทยแห่งนี้!! จะเป็นที่ที่ดีมากสำหรับครอบครัวเขา

เมื่อวันที่3เม.ย.63 ที่ผ่านมา เอกอัครราชทูตไมเคิล จอร์จ ดีซอมบรี กล่าวกับพนักงานสถานทูตสหรัฐฯ ประจำประเทศไทย ในการประชุม Town Hall ผ่านระบบออนไลน์ ซึ่งมีเนื้อหาเกี่ยวกับการป้องกันการแพร่ระบาดของไวรัส โควิด-19 โดยมีประโยคเด็ดระบุว่า…

ผมบอกกับทุกคนได้เลยว่าผมมั่นใจอย่างยิ่งว่ากรุงเทพฯจะเป็นที่ที่ดีมากสำหรับครอบครัวของผมในช่วงวิกฤตนี้ อย่างที่ได้พูดไปแล้วว่า ที่นี่มีบริการด้านสาธารณสุขที่เป็นเลิศ เรามี CDC และ AFRIMS เป็นทรัพยากรส่วนหนึ่งของสถานทูต เหมือนดังเช่นที่ท่านประธานาธิบดีทรัมป์ได้กล่าวเมื่อเช้าวานนี้ว่า “…แม้ในช่วงที่ท้าทายที่สุด ชาวอเมริกันก็ไม่สิ้นหวัง เราไม่จำนนต่อความกลัว เรารวมพลังกัน เราเพียรพยายามและเราก้าวผ่านอุปสรรคและเราจะชนะ”

และล่าสุด วันนี้ ( 8 เม.ย. 63) นายไมเคิล เข้าเยี่ยมคารวะนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรี ซึ่งทางด้านเอกอัครราชทูต กล่าวชื่นชมมาตรการของรัฐบาลไทย ที่ส่งผลให้มีแนวโน้มตัวเลขผู้ติดเชื้อเป็นแนวราบ ทั้งนี้ ขอขอบคุณรัฐบาลไทยที่ให้การดูแลผู้อาศัยอยู่ในประเทศไทยให้ใช้ชีวิตอย่างปลอดภัย

อย่างไรก็ตามแม้คำพูดของ ทูตไมเคิล จะดูคล้ายชื่นชมไทย แต่ก็ยังไม่วายเยินยอประธานาธิบดีตัวเอง เพราะฉะนั้นก็ต้องกลับมาอัพเดทสถานกาณ์การแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19กันเสียหน่อย สำหรับสถานการณ์ล่าสุด ณ. วันที่ 8 เม.ย.63 เริ่มที่สหรัฐฯ มีผู้ติดเชื้อสะสมสูง 395,612 ราย ผู้ติดเชื้อใหม่ 30,896 ราย เสียชีวิตเพิ่ม 1,944 ราย  เสียสะสมชีวิต 12,790 ราย ขณะไทย มีผู้ติดเชื้อสะสมสูง 2,369 ราย ผู้ติดเชื้อใหม่ 111 ราย เสียชีวิตเพิ่ม 3 ราย  เสียสะสมชีวิต 30 ราย

ที่สำคัญต้องไม่ลืมว่า ไทยพบผู้ติดเชื้อรายแรก 12 ม.ค.63  ส่วนสหรัฐฯนั้น พบผู้ติดเชื้อรายแรก 20 ม.ค.63  ห่างกันถึง18วัน แต่ยอดผู้ติดเชื้อ สูงกว่าไทย167เท่า ผู้เสียชีวิต สูงกว่าไทย426เท่า ทั้งๆที่ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์แห่งสหรัฐฯประกาศภาวะฉุกเฉินทั่วประเทศแล้วตั้งแต่ 14มี.ค.63  ก่อนหน้าลุงตู่ถึง 12 วัน ขณะที่ลุงตู่ ประกาศใช้ภาวะฉุกเฉินเมื่อวันที่ 26 มี.ค.63

เป็นอย่างไรบ้าง ฝีไม้ลายมือในการควบมคุมการแพร่ระบาดไวรัสโควิด-19ของ รัฐบาลประชาธิปไตยจ๋า อย่างสหรัฐอเมริกา แต่กลับมียอมผู้ติดเชื้อสะสมพุงสูงเป็นอันดับ 1ของโลกไปแล้ว   ขณะที่รัฐบาลลุงตู่ รัฐบาลที่ถูกตราว่าเป็นเผด็จการแม้จะมาจากการเลือกตั้ง ซึ่งก่อนหน้านี้ก็สหรัฐฯดิสเครดิตรัฐบาลลุงตู่ทุกครั้ง แทรกแซงกิจการเมืองไทย..หากโอกาส

ยกตัวอย่างกรณีล่าสุดเมื่อวันที่ 22 ก.พ. 2563  สถานเอกอัครราชทูตสหรัฐอเมริกาประจำประเทศไทย โพสต์ข้อความผ่านทางเฟซบุ๊ก   เกี่ยวกับแถลงการณ์กรณีการยุบพรรคอนาคตใหม่ในประเทศไทยว่า รับทราบเกี่ยวกับคำพิพากษาของศาลรัฐธรรมนูญไทยในวันที่ 21 ก.พ. ให้ยุบพรรคอนาคตใหม่ แม้จะข้อความส่วนหนึ่งระบุว่า “สหรัฐส่งเสริมการปกครองระบอบประชาธิปไตยอย่างเต็มที่ในทุกประเทศทั่วโลก…” และ “…สหรัฐ ไม่ได้ถือข้างหรือสนับสนุนพรรคการเมืองใดในประเทศไทยเป็นพิเศษ…”

แต่ดูเหมือน สถานทูตสหรัฐฯจะยอมรับว่า “…ประเทศไทยที่มีรัฐบาลซึ่งมาจากการเลือกตั้งโดยวิถีแห่งประชาธิปไตยเมื่อไม่นานมานี้…” แต่ในแถลงการณ์ดังกล่าวกลับตั้งข้อสงสัยต่อกระบวนการยุติธรรมของไทยดังจะมีเจตนาตรงข้ามกับการยอมรับประชาธิปไตยในไทยข้างต้น

โดยเฉพาะที่มีการระบุว่า “…ประชาชนกว่า 6 ล้านคนได้ลงคะแนนเสียงเลือกพรรคอนาคตใหม่ในการเลือกตั้งเมื่อวันที่ 24 มี.ค.62 คำพิพากษาให้ยุบพรรคอนาคตใหม่อาจนำไปสู่การลิดรอนสิทธิ์ของผู้ลงคะแนนเสียงเหล่านั้น และทำให้เกิดคำถามว่าพวกเขาจะยังคงมีสิทธิ์มีเสียงในระบบการเลือกตั้งของไทยหรือไม่…”

ซึ่งข้อความดังกล่าวสื่อว่า สหรัฐฯไม่ปักใจเชื่อว่า กระบวนการยุติธรรมของรัฐไทยเป็นไปอย่างบริสุทธิ์ยุติธรรม และอาจแสดงนัยได้ว่า มีการแทรกแซง จากฝ่ายการเมือง หรือ อำนาจอื่นใด ต่ออำนาจตุลาการ ซึ่ง(สหรัฐฯ)เชื่อได้ว่า มิได้เคารพสิทธิ์ของผู้ลงคะแนนเสียง 6 ล้านคน หรือไม่?

น่าสนใจว่า เหตุผลแบบเดียวกันนี้ปรากฏในการวิพากษ์วิจารณ์ศาลรัฐธรรมนูญอย่างรุนแรงของ อดีตส.ส.พรรคอนาคตใหม่ และยังสอดรับกับแถลงการณ์ 36 อาจารย์นิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ที่แสดงนัยว่า การยุบพรรคอนาคตใหม่ทำลายเจตจำนงของประชาชนที่เลือกพรรคนั้นมา

แต่สิ่งที่เกิดขึ้นนั้นไม่ใช่เรื่องแปลก เพราะพฤติกรรมที่ผ่านมาของสหรัฐฯ ผ่านการปฏิบัติงานของสถานทูตสหรัฐฯ นั้น ชัดเจนว่ามีเจตนาเลือกข้าง สนับสนุน ฝ่ายการเมืองในประเทศไทยที่เรียกตนเองว่าเป็น “ฝ่ายประชาธิปไตย” มาโดยตลอด เมื่อเราย้อนดูไทมไลน์ของพฤติกรรมในลักษณะคล้ายคลึงกันของสถานทูตสหรัฐฯ กับกลุ่มที่อ้างว่าเป็น “ฝ่ายประชาธิปไตย” ในไทย (ก่อนการยึดอำนาจของ คสช.ปี 2557 จนถึง ปัจจุบัน) ยกตัวอย่าง สถานทูตสหรัฐฯ เยี่ยมหมู่บ้านเสื้อแดง

27 ก.พ. 57 นาย Timothy Trenkle เลขานุการเอก ฝ่ายการเมือง สถานทูตสหรัฐฯ และคณะเจ้าหน้าที่สถานทูตสหรัฐฯ เดินทางลงพื้นที่เพื่อขอทราบการทำงานและกิจกรรมของ “หมู่บ้านเสื้อแดง” ที่ชุมชนพรสวรรค์ เทศบาลตำบลหนองบัว อ.เมือง จ.อุดรธานี และต่อมา28 ก.พ. 57 คณะสถานทูตสหรัฐฯ ลงพื้นที่พบมวลชนหมู่บ้านเสื้อแดง อุดรธานี สกลนคร และ นครพนม

หรือกรณีอุปทูตสหรัฐฯพบอดีตนายกฯยิ่งลักษณ์แสดงความเป็นห่วงหลังถูกถอดถอน เมื่อ26 ม.ค.58 น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี พร้อมคณะ เดินทางเข้าพบ นายแดเนียล รัสเซล ผู้ช่วยรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศสหรัฐอเมริกา ฝ่ายกิจการเอเชียตะวันออกและแปซิฟิก นายแพทริค เมอร์ฟีย์ อุปทูตสหรัฐอเมริกาประจำประเทศไทย โดยส่วนหนึ่งของเนื้อหาที่เข้าพบ สหรัฐอเมริกาได้แสดงความเป็นห่วงสิ่งที่เกิดขึ้น อดีตนายกฯ ที่มาจากการเลือกตั้งต้องโดนถอดถอนจากคนที่มาจากการแต่งตั้ง ไม่ได้มาตามครรลองประชาธิปไตย..เป็นต้น