เสร็จแน่! รัสเซีย-ยูเครน ยิ่งเดือด อังกฤษยิ่งย่ำแย่ คาดฤดูหนาวเงินเฟ้อพุ่งอีก ปชช.จะอดอยากกว่าเดิม

จากสถานการณ์ในรัสเซีย-ยูเครน ที่กลับมาเดือดอีกครั้ง ได้ส่งผลให้มีการยิงถล่มท่าเรือในยูเครน หลังบรรลุข้อตกลงในการส่งออกอาหารและธัญพืชได้เพียงหนึ่งวัน นั่นทำให้น่าจับตามองว่า ที่ยูเครนได้ประกาศว่าอยากจบสงครามก่อนหน้าหนาวมาถึง จะยิ่งทำให้หลังจากนี้ มีแต่ความดุเดือดมากขึ้น

ล่าสุดมีรายงานผลการประเมินสถานการณ์เงินเฟ้อของสหราชอาณาจักร โดย EY-Parthenon องค์กรที่ปรึกษายุทธศาสตร์ทั่วโลก ว่าช่วงฤดูหนาวปีนี้ อาจพุ่งขึ้นไปสูงถึง 15% บ่งบอกถึงความท้าทายที่ต้องเผชิญในภาคธุรกิจและครัวเรือนหลายเดือนข้างหน้า

ตัวเลขดังกล่าวมาจากการประเมินกรณีขั้นเลวร้ายสุด หรือ worst-case scenario ว่า ประธานาธิบดี วลาดิมีร์ ปูติน สั่งบล็อกการส่งก๊าซมายังยุโรป ราคาอาหารสูงขึ้นไปอีก และความคาดหมายเรื่องเงินเฟ้อครอบคลุมประชากร

ขณะนี้เงินเฟ้อของอังกฤษ เมื่อเดือนมิถุนายน สูง 9.4% สูงที่สุดในรอบ 40 ปี เรื่องนี้เป็นประเด็นหลักในการต่อสู้เพื่อชิงตำแหน่งหัวหน้าพรรคอนุรักษนิยมที่จะมาเป็นนายกรัฐมนตรีอังกฤษ ระหว่าง ริชี สุนัค รมว.คลัง กับ ลิซ ทรัสส์ รมว.การต่างประเทศ

EY-Parthenon ยังตั้งสมมติฐานว่า หากเงินเฟ้อไต่ขึ้นไปสูงเกิน 10% แล้ว จะค่อย ๆ ลดลงมา แต่ความซับซ้อนของการคำนวณว่าจะส่งผลกระทบต่อค่าครองชีพอย่างไรนั้น ต้องมองถึงสถานการณ์สงคราม รัสเซีย-ยูเครนด้วย

ดูได้จาก ราคาธัญพืชลดลงได้เมื่อวันศุกร์ที่ 22 ก.ค. เมื่อรัสเซียกับยูเครนบรรลุข้อตกลงฟื้นการขนส่งข้าวสาลี 20 ล้านตันออกจากท่าเรือยูเครน แต่วันต่อมา เมื่อขีปนาวุธถล่มลงท่าเรือเมืองโอเดสซา ทางใต้ของยูเครน จึงเสี่ยงที่ราคาจะสูงขึ้นอีกครั้ง

มัตส์ เพิร์สสัน หุ้นส่วนของ EY-Parthenon และอดีตที่ปรึกษารัฐบาลอังกฤษ กล่าวว่า สถานการณ์รัสเซีย-ยูเครน กลายเป็นเกมสงครามที่มีผลต่อเงินเฟ้อ บรรดาบริษัทต่างๆ มีโมเดลฉากทัศน์ว่า เงินเฟ้ออาจทะยานไปถึง 15% ในช่วงฤดูหนาว หากรัสเซียปิดท่อส่งก๊าซ ราคาอาหารจะสูงขึ้นไปอีก และบริษัทต่าง ๆ ต้องคิดถึงการตัดลดความสูญเสียของรายได้และผลิตภัณฑ์ และต้องพยายามสร้างข้อตกลงที่สร้างสรรค์ ที่จะให้ผลตอบแทนและกำไรมากขึ้นเพื่อรักษาพนักงานสำคัญไว้