หลังจากที่นายบอริส จอห์นสัน แถลงการณ์ ยอมลาออกจากการเป็นหัวหน้าพรรคคอนเซอร์เวทีฟ เมื่อ 7 ก.ค.ที่ผ่านมา หลังถูกสมาชิกพรรคกดดันให้ลาออกจากตำแหน่งนายกรัฐมนตรี แต่เขายังคงจะเป็นนายกรัฐมนตรีอังกฤษต่อไปจนว่าจะได้หัวหน้าพรรคคนใหม่ในเดือน ต.ค.นี้
ขณะที่ ลิซ ทรัสส์ สมาชิกรัฐสภาและรัฐมนตรีต่างประเทศสหราชอาณาจักร เข้าร่วมศึกแย่งชิงเป็นผู้นำพรรคคอนเซอร์เวทีฟ ซึ่งจะก้าวมาเป็นนายกรัฐมนตรีคนใหม่แทน บอริส จอห์นสัน โดยเธอแสดงเจตจำนงและวางกรอบคร่าว ๆ เกี่ยวกับแนวทางการหาเสียง
“ฉันเสนอตัวเอง เพราะว่าฉันมีความสามารถเป็นผู้นำและทำการตัดสินใจที่ยากลำบากต่าง ๆ ฉันมีวิสัยทัศน์ที่ชัดเจน ซึ่งเป็นสิ่งที่เราต้องการ ฉันมีประสบการณ์และมีความแน่วแน่” หนึ่งในนโยบายหลักๆของเขา คือให้คำสัญญาว่าจะปรับลดภาษี “ภายใต้การเป็นผู้นำของฉัน ฉันจะเริ่มปรับลดภาษีตั้งแต่วันแรก ลงมือในทันทีเพื่อช่วยเหลือประชาชนรับมือกับค่าครองชีพ ทำให้ประชาชนอังกฤษกำลังมองว่า นายกฯคนใหม่ จะมาซ้ำเติมวิกฤตเดิมหรือไม่ เพราะการคว่ำบาตรรัสเซียที่ผ่านมา ส่งผลกระทบอย่างหนักต่อประชากร
ล่าสุดมีรายงานว่า พลเรือเอกโทนี่ ราดากิน เสนาธิการกลาโหมอังกฤษ กล่าวกับกับรายการ BBC One’s Sunday Morning ว่า นายกรัฐมนตรีอังกฤษคนใหม่ควรยอมรับว่ารัสเซียเป็น “ภัยคุกคามที่ใหญ่ที่สุด” ต่อสหราชอาณาจักร โดยตามการประเมินของกองทัพอังกฤษ รัสเซียมีระบอบการปกครองที่ค่อนข้างคงที่ ซึ่งหมายความว่าจะเป็นอันตรายต่อสหราชอาณาจักรในอีกหลายสิบปีข้างหน้า ความท้าทายของรัสเซียที่เป็นภัยคุกคามประเทศจะคงอยู่ต่อไปอีกนาน
ราดากิน ชี้ว่า กองกำลังทางทหารของรัสเซียอาจเป็นภัยคุกคามน้อยกว่าในระยะสั้น เนื่องจากการสูญเสียจากการต่อสู้ในยูเครน แต่รัสเซียยังคงมีเรื่องพลังงานนิวเคลียร์, ความสามารถทางไซเบอร์, ความสามารถด้านอวกาศ และมีโปรแกรมเฉพาะใต้น้ำ ที่สามารถคุกคามสายเคเบิลใต้น้ำที่ส่งผ่านข้อมูลไปยังทั่วโลกได้
ทั้งนี้ ราดากินยังบอกว่า สิ่งที่กลาโหมจะสรุปต่อผู้นำคนใหม่คือ การสนับสนุนที่เรามอบให้ยูเครนจะมีต่อไป โดยตลอดเวลาที่รัสเซียโจมตียูเครน อังกฤษคือกำลังสนับสนุนสำคัญที่สุดของยูเครน ทั้งในเรื่องการจัดหาอาวุธ, การฝึกทหาร, และการสนับสนุนการแก้ปัญหาทางทหารต่อวิกฤตการณ์ต่างๆ ขณะเดียวกัน ก็คว่ำบาตรรัสเซียอย่างรุนแรง อย่างไรก็ดี ราดากินก็เคยยอมรับเมื่อเดือนที่แล้วว่า สหราชอาณาจักรได้มอบอาวุธให้กับยูเครนมากมาย จนต้องใช้เวลาหลายปีกว่าที่จะมีอาวุธใหม่มาแทนที่ อังกฤษอาจต้องใช้เวลา 5 ถึง 10 ปี จึงจะสามารถจัดกองพลให้เป็นไปตามที่ต้องการได้เหมือนเดิม