หลังจากที่กลาโหมรัสเซีย สั่งเข้มรอบใหม่ ว่าจะเริ่มการโจมตียูเครนอย่างหนักอีกครั้ง ทำให้หลายฝ่ายมองว่า รอบนี้รัสเซียจะเผด็จศึกยูเครนหรือไม่ เนื่องจากเคยส่งสัญญาณว่าจะไม่บุกยูเครนอีกแล้ว แต่กลับมีคำสั่งยกระดับรอบใหม่อีกครั้ง
ล่าสุด ทางด้านอดีตนายกรัฐมนตรีอังกฤษ “โทนี แบลร์” ออกมาชี้ว่าสงครามยูเครนสะท้อนอิทธิพลตะวันตกที่กำลังสิ้นสุด ขณะที่ จีน-รัสเซีย ขึ้นสู่สถานะมหาอำนาจ โดยมีรายงานจาก รอยเตอร์ระบุว่า “โทนี แบลร์” อดีตนายกรัฐมนตรีอังกฤษ กล่าวว่า สงครามยูเครนแสดงให้เห็นว่าอิทธิพลของตะวันตกกำลังจะสิ้นสุดลง ในขณะที่จีนขึ้นสู่สถานะมหาอำนาจร่วมกับรัสเซีย นับเป็นจุดเปลี่ยนที่สำคัญที่สุดครั้งหนึ่งในรอบหลายศตวรรษ โลกกำลังอยู่ในจุดเปลี่ยนในประวัติศาสตร์ ที่เทียบได้กับการสิ้นสุดของสงครามโลกครั้งที่ 2 หรือการล่มสลายของสหภาพโซเวียต แต่คราวนี้เห็นได้ชัดว่าชาติตะวันตกไม่ใช่ฝั่งที่มีอิทธิพลเหนือกว่า
“เรากำลังถึงจุดสิ้นสุดของการมีอิทธิพลทางการเมืองและเศรษฐกิจของตะวันตก โลกจะมีอย่างน้อยสองขั้ว และอาจมีหลายขั้ว การเปลี่ยนแปลงทางภูมิศาสตร์การเมืองครั้งใหญ่ที่สุดของศตวรรษนี้จะมาจากจีน ไม่ใช่รัสเซีย”
การรุกรานยูเครนของรัสเซียได้คร่าชีวิตผู้คนหลายพันคน และก่อให้เกิดวิกฤตที่ร้ายแรงที่สุดในความสัมพันธ์ระหว่างรัสเซียและชาติตะวันตก นับตั้งแต่วิกฤตการณ์ขีปนาวุธคิวบาในปี 2505 ซึ่งครั้งนี้ผู้คนจำนวนมากเกรงว่าโลกจะเผชิญสงครามนิวเคลียร์ “สงครามในยูเครนได้แสดงให้เห็นว่าตะวันตกไม่สามารถเชื่อใจจีน ว่าจะแสดงท่าทีในลักษณะที่เรามองว่ามีเหตุผล”
เมื่อปี 2522 จีนมีขนาดเศรษฐกิจเล็กกว่าของอิตาลี แต่หลังจากจีนเปิดรับการลงทุนจากต่างประเทศ และเริ่มปฏิรูปตลาดต่าง ๆ จีนก็ได้กลายเป็นประเทศที่มีขนาดเศรษฐกิจใหญ่เป็นอันดับ 2 ของโลก เศรษฐกิจของจีน คาดว่าจะแซงหน้าสหรัฐฯได้ภายใน 1 ทศวรรษ และขณะนี้จีนได้ขึ้นแท่นผู้นำเทคโนโลยีบางอย่างในศตวรรษที่ 21 แล้ว เช่น ปัญญาประดิษฐ์ เวชศาสตร์ฟื้นฟู และโพลิเมอร์นำไฟฟ้า
“ตำแหน่งของจีนในฐานะมหาอำนาจนั้นเป็นไปโดยธรรมชาติและสมเหตุสมผล ไม่ใช่อย่างสหภาพโซเวียต” เขายังบอกด้วยว่า ตะวันตกไม่ควรปล่อยให้จีนตามทันในด้านการทหาร