การแข่งขันระหว่างพันธมิตรอำนาจเก่าอย่างสหรัฐและอิสราเอล กับมหาอำนาจผู้ท้าชิงอย่างรัสเซียและจีน เพื่อช่วงชิงพันธมิตรตะวันออกกลางเป็นไปอย่างคุกรุ่น ขณะที่รัสเซียได้รับความไว้วางใจจากตะวันออกกลาง ก็ได้สานสัมพันธ์มายังฝั่งเอเชียชัดเจนมากขึ้น ล่าสุด วิสาหกิจด้านพลังงานนิวเคลียร์ของรัสเซีย ได้ลงนามกับผู้นำเมียนมาพัฒนาพลังงานนิวเคลียร์และอวกาศ พร้อมหารือด้านความมั่นคงร่วมกันกับเจ้าหน้าที่กลาโหมอาวุโสของรัสเซีย ในช่วงเวลาเดียวกับทริปเยือนตะวันออกกลางของผู้นำสหรัฐ ซึ่งโฟกัสอยู่ที่อิสราเอลเป็นสำคัญ วอชิงตันและเยรูซาเลมลงนามการพัฒนาโครงการอาวุธเลเซอร์ปกป้องน่านฟ้าให้อิสราเอล โดยยืนยันสนับสนุนงบฯที่สหรัฐต้องมอบให้อิสราเอลตามการอนุมัติตั้งแต่สมัยอดีตปธน.โอบามา จำนวน ๓๘,๐๐๐ ล้านดอลลาร์สหรัฐ
วันที่ ๑๖ ก.ค.๒๕๖๕ สำนักข่าวบลูมเบิร์กรายงานว่า รัฐบาลเมียนมาและบริษัทโรซาตอม (Rosatom) กิจการด้านพลังงานนิวเคลียร์ของรัสเซีย ได้ลงนามในบันทึกความเข้าใจเกี่ยวกับความร่วมมือด้านพลังงานนิวเคลียร์ระหว่างที่ พล.อ.อาวุโส มิน อ่อง หล่าย เยือนรัสเซียเป็นการส่วนตัว ตามการเปิดเผยของกระทรวงข่าวสารของเมียนมา
พล.อ.อาวุโส มิน อ่อง หล่าย ได้พบหารือกับ อเล็กซี ลีคาชอฟ ผู้อำนวยการรอสอะตอมในกรุงมอสโกว์เมื่อวันจันทร์ที่ ๑๑ ก.ค.๒๕๖๕ และได้หารือเกี่ยวกับความเป็นไปได้สำหรับความร่วมมือในด้านต่างๆ เช่น การวิจัยทางวิทยาศาสตร์ การผลิตยา การเกษตร ปศุสัตว์และอุตสาหกรรม และภาคอาหารด้วยการใช้พลังงานนิวเคลียร์อย่างสันติ กระทรวงข่าวสารระบุในคำแถลงโดยไม่ได้ให้รายละเอียดอื่นใดเพิ่มเติม
ระหว่างการเยือนรัสเซีย พล.อ.อาวุโส มิน อ่อง หล่าย ยังได้พบหารือกับดมิทรี โรโกซิน ผู้บริหารองค์การอวกาศสหพันธรัฐรัสเซีย รอสคอสมอส (Roscosmos) และได้หารือเกี่ยวกับการพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี และการพัฒนาทรัพยากรมนุษย์
ผู้นำรัฐบาลเมียนมา ยังให้คำมั่นที่จะกระชับความร่วมมือด้านเทคนิคทางทหารกับรัสเซียระหว่างการพบหารือกับเจ้าหน้าที่กลาโหมระดับสูงของรัสเซีย โดยการเยือนรัสเซียในครั้งนี้เกิดขึ้นหนึ่งสัปดาห์ หลังจากที่ หวัง อี้ รัฐมนตรีต่างประเทศของจีน เดินทางเยือนเมียนมาเพื่อร่วมการประชุมระดับภูมิภาค ซัมมิตล้านช้าง-แม่น้ำโขง
ท่ามกลางแรงกดดันของสหรัฐและพันธมิตรตะวันตก เมียนมาและรัสเซียได้เพิ่มบทบาทความสัมพันธ์อย่างมีนัยสำคัญต่อเนื่อง ในช่วงเวลาเดียวกันนี้เอง ผู้นำสหรัฐฯ ได้เดินทางเยือนตะวันออกกลางครั้งแรก ภายใต้ข้ออ้างกล่อมประเทศอ่าวเพิ่มกำลังผลิตน้ำมัน แต่ซ่อนด้วยเจตจำนงค์ผลักดันกลุ่มพันธมิตรทางทหารในตะวันออกกลาง โดยมีสหรัฐและอิสราเอลเป็นแกนนำ
มีการลงนาม ‘ปฏิญญาเยรูซาเล็ม’ เมื่อปธน.ไบเดนเยือนอิสราเอล ผู้นำสหรัฐอเมริกาประกาศกล้า สาบานว่าจะใช้อำนาจของสหรัฐทั้งหมดเพื่อหยุดนิวเคลียร์อิหร่าน
ปธน.โจ ไบเดน แห่งสหรัฐฯ และนายกรัฐมนตรี ยาเออร์ ลาปิด (Yair Lapid) แห่งอิสราเอลได้ลงนามในแถลงการณ์ร่วมทางยุทธศาสตร์ในกรุงเยรูซาเลมเมื่อวันพฤหัสบดีที่ ๑๔ ก.ค.ที่ผ่านมา โดยสหรัฐฯ ให้คำมั่นว่าจะใช้ “องค์ประกอบทั้งหมดในอำนาจแห่งชาติ เพื่อป้องกันไม่ให้อิหร่านได้รับอาวุธนิวเคลียร์ และจะปกป้องอิสราเอลในทุกกรณี”
แถลงการณ์ระบุว่า “สหรัฐฯ ยืนยันอีกถึงความมุ่งมั่นที่จะทำงานร่วมกับพันธมิตรรายอื่นๆ เพื่อเผชิญหน้ากับการรุกรานและก่อกวนกิจกรรมของอิหร่าน ไม่ว่าจะก้าวหน้าโดยตรงหรือผ่านตัวแทนและองค์กรก่อการร้าย เช่น ฮิซบอลเลาะห์ ฮามาส และปาเลสไตน์ อิสลามิกญิฮาด”
นอกจากนี้ดูเหมือนว่าปธน.ไบเดนได้ลดความสำคัญการแก้ไขความขัดแย้งระหว่างอิสราเอลกับปาเลสไตน์ในวาระนโยบายต่างประเทศของเขาเป็นส่วนใหญ่ อ้างว่าทั้งสองฝ่ายไม่พร้อมสำหรับการเจรจาสันติภาพที่มีเดิมพันสูง
คำประกาศดังกล่าวประกอบด้วยความมุ่งมั่นของสหรัฐฯ ในการดำเนินการตามเงื่อนไขของบันทึกความเข้าใจครั้งประวัติศาสตร์มูลค่า ๓๘,๐๐๐ ล้านดอลลาร์สหรัฐ และเพิ่มให้อีก ๑,๐๐๐ ล้านดอลลาร์สหรัฐเพื่อสะท้อนถึงภัยคุกคามและสถานการณ์ใหม่ๆในภูมิภาค
ทั้งสองฝ่ายยังให้คำมั่นว่าจะร่วมมือกันใน “เทคโนโลยีการป้องกันที่ทันสมัย เช่น ระบบอาวุธเลเซอร์พลังงานสูง เพื่อปกป้องน่านฟ้าของอิสราเอลและในอนาคตของพันธมิตรด้านความมั่นคงอื่นๆ ของสหรัฐฯ และอิสราเอล”
ถ้อยแถลงยังรวมถึงการปฏิเสธอย่างแน่วแน่ ต่อการรณรงค์คว่ำบาตร การลงโทษ และความพยายามใดๆต่ออิสราเอลอย่างไม่เป็นธรรมในสหประชาชาติหรือศาลอาญาระหว่างประเทศ เรียกว่าห้ามโลกนี้แตะต้องอิสราเอลไม่ว่ากรณีใดๆ
คำประกาศยังระบุด้วยว่า “ทั้งสองประเทศจะใช้เครื่องมือที่มีอยู่เพื่อต่อสู้กับความหายนะและแหล่งที่มาของการต่อต้านชาวยิว และตอบโต้เมื่อใดก็ตามที่การวิพากษ์วิจารณ์ที่ชอบด้วยกฎหมาย ได้ก้าวข้ามไปสู่ความเกลียดชังต่ออิสราเอล หรือความพยายามที่จะบ่อนทำลายสถานที่อันชอบธรรมของอิสราเอลในครอบครัวของชาติต่างๆ”
และนี่คือภารกิจหลักที่แท้จริงของปธน.โจ ไบเดนแห่งสหรัฐ ต่อทริปเยือนตะวันออกกลางที่จบลงด้วยความเย็นชาจากพันธมิตรซาอุดิอาระเบีย