แนวหน้าการใช้ปัญญาประดิษฐ์ กรณีศึกษาที่ 2 อัลฟาเบท และกูเกิ้ล ใช้ปัญญาประดิษฐ์ให้เกิดศักยภาพสูงสุด

0

แนวหน้าการใช้ปัญญาประดิษฐ์ กรณีศึกษาที่ 2 อัลฟาเบท และกูเกิ้ล ใช้ปัญญาประดิษฐ์ให้เกิดศักยภาพสูงสุด

แปล ดร.วีรพจน์  ลือประสิทธิ์สกุล ,16พฤศจิกายน 2562

เขียน เบอร์นาร์ด มารร์ และ แมต วอร์ด 2019

ดร.วีรพจน์ ลือประสิทธิ์สกุล ,

 

อัลฟาเบทเป็นกลุ่มบริษัทข้ามชาติสัญชาติสหรัฐ ผู้ให้บริการอินเทอร์เน็ต เทคโนโลยีและวิทยาศาสตร์เพื่อชีวิต ธุรกิจของบริษัทประกอบด้วย Google ยักษ์ใหญ่ด้านการค้นหาในอินเทอร์เน็ต, Verily บริษัทด้านวิทยาศาสตร์เพื่อชีวิต, Waym๐ บริษัทด้านเทคโนโลยีการขับขี่ด้วยตนเอง, Nest บริษัทด้านอุปกรณ์สมาร์ทโฮม, Deep Mind บริษัทด้านปัญญาประดิษฐ์และ บริษัทอื่น ๆ อีกหลายแห่ง

 

ในปี 2560 Sergey Bin ประธานและผู้ก่อตั้งบริษัทอัลฟาเบท ได้เขียนไว้ในจดหมายว่า”ฤดูใบไม้ผลิใหม่ในด้านปัญญาประดิษฐ์คือพัฒนาการด้านการคำนวณที่มีความสำคัญมากที่สุดในช่วงชีวิตของฉัน”

 

อัลฟาเบทเข้าใจถึงศักยภาพของAI และตั้งใจที่จะนำมาใช้กับธุรกิจทั้งหมดของบริษัทนับ ตั้งแต่ การปรับปรุงการค้นหาทางอินเทอร์เน็ต ไปจนถึง รถยนต์ที่ขับเคลื่อนด้วยตนเอง บ้านอัตโนมัติ ผู้ช่วยเสมือนที่ชาญฉลาด การแปลภาษา และ วิทยาศาสตร์การแพทย์ที่ ช่วยชีวิตมนุษย์

 

อัลฟาเบทใช้ปัญญาประดิษฐ์อย่างไร

เครื่องมือคุ้นหาที่ฉลาดูกว่า

 

การค้นหาข้อความและเสียงจะใช้ “การประมวลผลภาษาธรรมชาติ” อัลกอริทึมจะพยายามทำความเข้าใจว่า แต่ละคำที่คุณป้อนเข้ามาซึ่งเป็นส่วนหนึ่งในประโยคที่ถูกสั่งให้ค้นหานั้น เกี่ยวข้องอย่างไรกับคำอื่นๆซึ่งอัลกอริทึมเคยใช้มาในอดีต แทนที่จะเป็นความหมายของแต่ละคำโดดๆ นี่คือการวิเคราะห์ความหมายซึ่งเป็นกุยแจสำคัญของ การประมวลผลภาษาธรรมชาติ”

Google Image  Search  ใช้สายตาคอมพิวเตอร์ในการรับรู้เนื้อหาของข้อมูลภาพ ที่ Google ได้จัดหมวดหมู่ และแบ่งประเภทไว้แล้วล่วงหน้า เพื่อให้ผู้ใช้สามารถค้นหาภาพได้โดยใช้ข้อความหรือเสียง “อัลกอริทึมการเรียนรู้ลึก” ช่วยให้มันเพิ่มความสามารถมากขึ้นเรื่อยๆ ในการจดจำและการติดฉลากองค์ประกอบต่างๆ ที่มีอยู่ในรูปภาพยิ่งมีความหลากหลายรูปภาพมากเท่าไหร่ มันก็จะยิ่งรู้ได้ดียิ่งขึ้นว่าภาพเหล่านั้นคืออะไร

เมื่อ AI ของGoogle ประมวลผลข้อความค้นหาของคุณและตัดสินใจแล้วว่า อะไรที่คุณต้องการค้นหากันแน่ มันจะจับคู่ไดเรกทอรีของเนื้อหาออนไลน์-หน้าเว็บ รูปภาพ วิดีโอ และเอกสาร สิ่งเหล่านี้ก็ได้รับการประมวลผลเอาไว้ล่วงหน้าแล้วเช่นกัน ด้วย “ระบบการเรียนรู้ของเครื่องจักร”

ระบบได้รับการฝึกฝนให้ เรียงลำดับ จัดลำดับ และกรอง เนื้อหาทั้งหมดในไดเรกทอรีเนื้อหาต่างๆจได้รับการประเมิน ความถี่ที่ถูกเรียกดู (เชื่อมโยง) ,ความถูกต้องของข้อมูล, ความเป็นไปได้ที่ข้อมูลนั้นอาจเป็นสแปมหรือการโฆษณา , และความน่าจะเป็นสิ่งที่ผิดกฎหมายหรือมีการละเมิดสิขสิทธิ์

 

ซึ่งหมายความว่า เพียงการค้นหาของ Google อย่างง่ายๆ ก็เกี่ยวข้องกับ การคำนวณ AI ที่ชับซ้อนและรวดเร็วมาก ดังนั้น การสร้างระบบที่มีความสามารถในการประมวลผลการคำนวณนับพันล้นจากทั่วทุกมุมโลกในแต่ละวัน คือสิ่งที่ทำให้อัลฟาเบทและ Google เป็นยักษ์ใหญ่ที่แท้จริงในวงการ AI (ซึ่งย่อมหมายถึงเป็นบริษัทที่ร่ำรวยที่สุดในโลกด้วย)

 

Google ใช้AI สำหรับแอปพลิเคชั่นแก่นกลางอื่น ๆ รวมทั้ง มาตรการรักษาความปลอดภัย ซึ่งทำให้บัญชี Gmail มีความปลอดภัย และ  adwords ซึ่งช่วยให้ธุรกิจที่จำยเงินค่าโฆษณาได้ปรากฏขึ้นในผลการค้นหาของลูกด้ที่อาจจะสนใจ

 

 

ผู้ช่วยส่วนตัวปัญญาประดิษฐ์

 

“ผู้ช่วยส่วนตัวปัญญาประดิษฐ์” ที่ใช้เทคโนโลยีเสียง ปรากฏขึ้นรอบ ๆ ตัวเราในไม่กี่ปีที่ผ่านมา และที่พวกเราคุ้นเคยกันดีได้แก่ Google Home, Amazon Alexa และ Apple Siri

 

แม้ว่าการใช้งาน “การประมวลผลภาษาธรรมชาติ” ในระยะแรกในอุปกรณ์ของผู้บริโภคดูเหมือนจะน่าประทับใจเมื่อเทียบกับสิ่งที่เป็นไปได้เพียงไม่กี่ปีที่ผ่านมา แต่ทุกคนที่เคยใช้งานดูแล้วจะรู้ว่าพวกมันยังมีข้อจำกัดอยู่อีกมาก พวกมันสามารถตอบสนองต่อประโยคและคำสั่งพื้นฐานที่ค่อนข้างสั้น

 

ที่เป็นเช่นนี้เพราะ พวกมันยังเป็นทารกแบเบาะมากเมื่อเทียบกับภาษาของมนุษย์ พูดง่ายๆก็คือ พวกมันยังมีข้อมูลไม่เพียงพอ แต่สิ่งนี้กำลังเปลี่ยนไปอย่างรวดเร็ว เทคโนโลยีดูเพล็กซ์ของ Google กำลังเป็นผู้แนวหน้าในเรื่องนี้

 

ดูเพล็กซ์มีความสามารถในการสนทนาได้อย่างเป็นธรรมชาติมากกว่าและผิดพลาดน้อยกว่า นี่เป็นเพราะมันถูกฝึกมาโดยเฉพาะสำหรับในสถานการณ์จำเพาะที่หลากหลาย และอัลกอริทึมของมันก็มีความเชี่ยวชาญอย่างยิ่งยวด ในการรวบรวมข้อมูลที่เกี่ยวข้องกับสถานการณ์ที่หลากหลายเหล่านั้น ตัวอย่างหนึ่งที่ Google ใช้แสดงความสามารถของการทำงานของดูเพล็กซ์ในการโทรไปจองคิวที่ร้านทำผมในนามของผู้ใช้ สำหรับการใช้งานใน กรณีที่มีการควบคุมและอยู่ภายใต้เงื่อนไขที่จำกัดเช่นนี้แล้ว มันทำงานได้ใกล้เคียงกับมนุษย์มากที่เดียว

 

เคล็ดลับอย่างหนึ่งที่วิศวกรของ Google นำมาใช้ เพื่อทำให้เครื่องจักรออกเสียงคล้ายมนุษย์มากขึ้น คือ การรวมองค์ประกอบที่ไม่มีความหมายชัดเจนในรูปแบบการพูดของมนุษย์ ตัวอย่างเช่น มันจะเปล่งเสียงumm, “aah” หรือ mh-hmm” ในจังหวะที่ มนุษย์มักจะทำเช่นนั้นเป็นปกติ

 

การแปลภาษา

ขอบคุณ “การเรียนรู้ของเครื่องจักร (machine learning)” ถ้าคุณสามารถสอนคอมพิวเตอร์ให้พูดภาษาหนึ่งได้ มันก็สามารถสอนตัวมันเองให้พูดภาษาใด ๆ ก็ได้เช่นกัน นั่นคือหลักการที่อยู่เบื้องหลังบริการแปลภาษาของ Google ซึ่งใช้ “การเรียนรู้ลึก (deep learig)” ในการแตกภาษาออกเป็น “อิฐก่อสร้างขั้นพื้นฐาน” ของภาษา

 

Google Translate ใช้ “เครือข่ายประสาทลึก (deep neural networks)”  เพื่อปรับแต่งอัลกอริทึมอย่างต่อเนื่อง ในขณะที่ผู้ใช้ชักนำมันไปรู้จักกับภาษาอื่น ๆ ซึ่งหมายความวมันจะมีประสิทธิภาพเพิ่มขึ้นและแปลภาษาได้แม่นยำยิ่งขึ้นเรื่อย ๆ Google ยังได้สร้างฟีเจอร์นี้ลง ในหูฟัง Pixel Bud ที่ติดตั้ง Google Assistance ซึ่งหมายความว่า ผู้ใช้สามารถรับฟังการแปลแบบเกือบจะเรียลไทม์ได้โดยตรงผ่านชุดหูฟังของเขา

 

รถยนต์ที่ขับเคลื่อนได้เอง

 

แผนกยานพาหนะที่ขับเคลื่อนได้เองของอัลฟาเบท (Waym๐) มีแพลทฟอร์มยานยนต์ขับเคลื่อนได้เอง ที่เจริญก้าวหน้ามากที่สุดในโลก ซึ่งจะเป็นรายแรกที่สามารถให้บริการในเชิงพาณิชย์ได้

 

 

อัลฟาเบทได้เดินหน้าลงสู่ถนน ด้วยการพัฒนายานพาหนะของตัวเอง ให้เป็นแบบ อัตโนมัติอย่างยิ่ง คือไม่มีแม้แต่พวงมาลัยหรือตัวควบคุมการขับขี่ใดๆ ออกแบบมาสำหรับยุคใหม่ของการขับขี่รถยนต์ในเมือง ที่การเป็นเจ้าของรถยนต์มักจะมีราคาแพงและไม่สะดวกการบริการของWaym๐ มุ่งเป้าไปที่เครือข่ายการแบ่งปันการใช้รถ ซึ่งคาดว่าจะสามารถสร้าง

เครีอข่ายการขนส่งในเมืองอัจฉยะได้ในอนาคตอันใกล้นี้

 

เขียนคำบรรยายวิดีโอหลายล้านเรื่อง

Google ยังใช้ “อัลกอริทึมภาษาธรรมชาติโดยการเรียนรู้ของเครื่องจักร” ในการสร้างคำบรรยายโดยอัตโนมัติ ให้ปรากฎในวิดีโอสตรีมมิ่งบน YouTube สำหรับผู้ชมที่หูตึงหรือผู้ที่ชื่นชอบรับชมด้วยความเงียบสงบ

 

เช่นเดียวกับการพูด ระบบใช้ “เครือข่ายประสาทลึก” ในการแยกเสียงรอบข้าง รวมถึงเสียงปรบมือ เสียงเพลง และ เสียงหัวเราะ และแสดงข้อความขึ้นมาโดยอัตโนมัติ เพื่อบอกผู้ชมวกำลังเกิดอะไรขึ้น

 

การวินิจฉัยโรค

 

เทคโนโลยี AI ของอัลฟาเบท (โดยเฉพาะ “การเรียนรู้ลึก”) ถูกนำมาใช้งานอย่างกว้างขวางในด้านการแพทย์ ความก้าวหน้าเรื่องหนึ่งเมื่อไม่นานมานี้คือ การวินิจฉัยสภาวะของดวงตา ในเรื่องนี้ พวกเขาประยุกต์ “อัลกอริรีมการเรียนรู้” เข้ากับ การสแกนอินฟาเรด 3 มิติของลูกตา ซึ่งเป็นที่รู้จักกันในชื่อ “การสแกนแบบเอกซ์เรย์เชื่อมโยงด้วยแสง”

 

ระบบอาศัย “อัลกอริทึมการเรียนรู้ลึก” สองอัน หนึ่งในนั้นสร้างแผนที่รายละเอียดของโครงสร้างตา และ เรียนรู้สภาพที่เป็นปกติกับสภาพที่สามารถบ่งชี้วมีปัญหา เช่น จอประสาทตาเสื่อมเนื่องจากความชรา อีกหนึ่งจะทำการวินิจฉัยโดยอิงกับข้อมูลทางการแพทย์และให้คำแนะนำผลการวินิจฉัยและวิธีการรักษาโรคแก่แพทย์

Google Brain

แผนกวิจัย AI ของ Go๐gle นั้นรู้จักกันในนาม Google Brain ก่อตั้งขึ้นโดย Jeff Dean และ Greg Corrado ของ Google พร้อมด้วย Andrew Ng ของ Stanford University ในปี 2011 ผลงานของพวกเขาได้ทำให้พวกเขาเป็นผู้บุกเบิกคลื่นเทคโนโลยีAI ภาคปฏิบัติในปัจจุบัน

 

Google Brain ตระหนักดีว่า เครือข่ายการจัดเก็บข้อมูลที่รวดเร็วและใหญ่โตที่สร้างขึ้นรวมถึงข้อมูลจำนวนมหาศาลที่ไหลผ่านอินตอร์เน็ต (และแน่นอน เชิร์ฟเวอร์ของพวกเขาเอง) เป็นกุญแจสำคัญในการปลดล็อค การใช้ประโยชน์ของ “การเรียนรู้ของเครื่องจักร” และ “การเรียนรู้ลึก”

 

นับตั้งแต่ก่อตั้งขึ้นมา แผนกนี้มีหน้าที่รับผิดชอบในกาพัฒนาเทคโนโลยีหลักหลายอย่างเช่น “การมองเห็นของคอมพิวเตอร์” และ “การประมวลผลภาษาธรรมชาติ” ซึ่งเป็นตัวจักรขับเคลื่อนให้เกิดกระแสการนำไปใช้ในรุกิจหลากหลายในปัจจุบัน

 

Deep Mind

 

อาวุธสำคัญอีกอย่างหนึ่งในคลังแสง AI ของอัลฟาเบท คือ Deep Mind ซึ่งได้มาในปี2014 จากสตาร์ทอัพสัญชาติ

สหราชอาณาจักร ซึ่งมีความเชี่ยวชาญในการสร้าง “แบบจำลอง” โครงข่ายประสาทของสมองซึ่งถูกฝึกให้เล่นเกม การโฟกัสไปที่การเล่นเกม ช่วยให้นักวิจัย Deep Mind สามารถศึกษาวิธีการที่สมองใช้ในการแก้ปัญหาที่ต้องใช้ความรู้ แล้วใช้ข้อมูลจากการศึกษามาสร้างเครื่องจักรที่สามารถแก้ปัญหาต่างด้วยความพยายามและวิธีการแบบเดียวกับมนุษย์ เทคโนโลยีนี้กลายเป็นข่าวพาดหัวในปี 2559 เมื่อมันเพิ่มพลังให้แก่คอมพิวเตอร์จนสามารถเอาชนะมนุษย์ซึ่งเป็นผู้เล่นระดับมืออาชีพในเกม G๐ ได้เป็นครั้งแรก

 

ทุกวันนี้ เทคโนโลยีAI ที่พัฒนาโดย Deep Mind ได้มอบพลังให้กับแก่แอพพลิเคชั่น อัจฉริยะของอัลฟาเบทจำนวนมาก นับตั้งแต่ การเพิ่มประสิทธิภาพของเครื่องจักรทำความเย็นในศูนย์ข้อมูลของพวกเขาเอง ไปจนถึง การจัดการอายุการใช้งานแบตเตอรี่บนอุปกรณ์พกพาที่ใช้ระบบปฏิบัติการ Android รวมทั้งยังเป็น สมองที่อยู่ข้างหลังดวงตาในแอพพลิเคชั่นการดูแลสุขภาพที่กล่าวมาแล้วข้างต้นด้วย

 

ความท้าทายที่สำคัญ, จุดเรียนรู้, และ ของที่ระลึก

 

-อัลฟาเบท และ Google เชื่ออย่างแน่ชัดว่าAI เป็นเครื่องยนต์ของจรวดที่จะขับดันให้เกิดคลื่นลูกต่อไปที่จะมาพลิกโฉมหน้าเทคโนโลยีคอมพิวเตอร์

-เช่นเดียวกัน พวกเขาเชื่อว่า คลื่นลูกดังกล่วจะส่งผลกระทบทางสังคม ไต้ยิ่งใหญ่กว่าคลื่นลูกใดๆในอดีตที่ผ่านมา – รวมถึงการพัฒนาอินเทอร์เน็ต

-การมีข้อมูลมากกว่าใครเป็นข้อได้เปรียบที่สำคัญ ซึ่งทำให้อัลฟาเบทสามารถพัฒนาบริการชั้นเลิศอย่างต่อเนื่อง ตั้งแต่ การค้นหา ไปจนถึง การแสดงโฆษณา การแปลภาษา การประมวลผลคำพูด บ้านอัจฉริยะ และ การขับขี่ด้วยตนเอง

-การมีโครงสงพื้นฐานที่สามารถเข้าถึงข้อมได้ทั่วโลก และพลังในการประมวลผลเพื่อการสืบค้นที่รวดเร็วที่สุด ทำให้ G๐ogle สามารถนำโครงสร้างพื้นฐานเดียวกันนี้ มาใช้ประโยชน์กับแอปพลิเคชัน AI ได้ด้วย

-เมื่ออัลฟาเบทได้เห็นการพัฒนาที่ก้าวล้ำหน้าชนิดสุดขอบในสาขาAI เช่น”การเรียนรู้ลึก”ของกลุ่มนักวิจัยและพวกสตาร์ทอัพ พวกเขาได้ใช้ทรัพยากรทางการเงินที่แข็งแกร่ง ดึงดูดความก้าวหน้านั้นมาแปะไว้บนกระดานและเพิ่มความชำนาญนั้นให้เป็นของตัวเอง