โลกกำลังจับตาการเยือนตะวันออกกลางของผู้นำสหรัฐฯเป็นทางการช่วงปลายสัปดาห์นี้ นับเป็นครั้งแรกตั้งแต่ปธน.โจ ไบเดนเข้ารับตำแหน่ง โดยไปอิสราเอลก่อน ค่อยจบที่ซาอุดิอาระเบีย สหรัฐฯสร้างภาพว่าจะไปช่วยเจรจาแก้ปัญหาความขัดแย้งของอิสราเอลและปาเลสไตน์ แต่ความจริงก็เปิดเผยว่า วาระที่เป็นหลักคือการฟื้นสัมพันธ์ให้อิสราเอลและซาอุดิอาระเบียรวมไปถึงประเทศกลุ่มอ่าว สร้างพันธมิตรด้านการทหารเพื่อต่อต้านอิหร่านโดยเฉพาะ อย่างอื่นแม้แต่เรื่องน้ำมันก็เป็นเพียงเรื่องผลพลอยได้
วันที่ ๑๒ ก.ค.๒๕๖๕ สำนักข่าวนิวยอร์กไทมส์ รายงานว่า ปธน.โจเซฟ ไบเดน แห่งสหรัฐฯ จะเยือนอิสราเอล เขตเวสต์แบงก์ และซาอุดีอาระเบีย ระหว่าง ๑๓ – ๑๖ ก.ค.นี้ ซึ่งสะท้อนว่า รัฐบาลสหรัฐฯ ให้ความสำคัญกับภูมิภาค ตอ.กลาง และยังตั้งข้อสังเกตว่า การเยือนอิสราเอลอาจช่วยกระตุ้นคะแนนนิยมของพรรคเดโมแครต ช่วงก่อนการเลือกตั้งทั่วไปกลางสมัยของสหรัฐฯ ขณะที่การเยือนซาอุดีอาระเบียเป็นความท้าทายของปธน.ไบเดน ที่ต้องรักษาสมดุลระหว่างความพยายามฟื้นฟูความสัมพันธ์เพื่อรักษาผลประโยชน์ของสหรัฐฯ ในภูมิภาคและความมั่นคงด้านพลังงาน กับการกดดันให้ซาอุดีอาระเบียแก้ไขปัญหาด้านสิทธิมนุษยชนตามที่ได้เคยโจมตีมาก่อนหน้านี้
วอลสตรีทเจอร์นัลรายงานว่า ในการเดินทางเยือนภูมิภาคครั้งแรกของเขาตั้งแต่เข้ารับตำแหน่งประธานาธิบดีไบเดนจะเริ่มต้นในอิสราเอลซึ่งสร้างความสัมพันธ์กับประเทศอาหรับ เขาจะจบทริปที่ซาอุดิอาระเบีย คาดว่าผู้นำสหรัฐจะหารือเกี่ยวกับการเป็นหุ้นส่วนทางทหารระหว่างอาหรับ-อิสราเอล เพื่อต่อสู้กับภัยคุกคามจากอิหร่าน
การเยือนของเขาเริ่มขึ้นในอิสราเอลและเวสต์แบงก์ที่ถูกยึดครอง ซึ่งครั้งหนึ่งเคยเป็นศูนย์กลางของนโยบายของอเมริกาในตะวันออกกลาง และคาดว่าจะมุ่งเน้นไปที่ความสัมพันธ์ที่แน่นแฟ้นอย่างรวดเร็ว ของอิสราเอล กับกลุ่มประเทศอาหรับ และความร่วมมือทางทหารระหว่างอาหรับ-อิสราเอลที่เกิดขึ้นใหม่ เพื่อต่อสู้กับภัยคุกคามจากอิหร่าน เขาจะสิ้นสุดการเดินทางในซาอุดิอาระเบียซึ่งเป็นอ่าวเปอร์เซียโดยระบุว่าตะวันตกต้องการสูบฉีดน้ำมันมากขึ้น เพื่อบรรเทาวิกฤตพลังงานที่เพิ่มสูงขึ้นจากสงครามในยูเครน
ปธน.ไบเดนเยือนอิสราเอลครั้งล่าสุดในปี ๒๕๕๙ ในตำแหน่งรองประธานาธิบดี สมัยอดีตปธน.บารัค โอบามา ประเทศนี้มีความสัมพันธ์ทางการทูตกับรัฐอาหรับเพียงสองรัฐ คืออียิปต์และจอร์แดน แต่ตอนนี้ มีการฝังตัวมากขึ้นภายในระบบนิเวศทางการทูตของตะวันออกกลาง หลังจากข้อตกลงสำคัญๆ หลายข้อที่ฝ่ายบริหารของทรัมป์เป็นนายหน้า ซึ่งปรับความสัมพันธ์ระหว่างอิสราเอลกับรัฐอาหรับอื่นๆ อีกสามรัฐได้แก่ บาห์เรน โมร็อกโก และสหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ ด้วยฝีมือการประสานของลูกเขยคนโปรดของทรัมป์
ในเวสต์แบงก์ ไบเดนจะพบกับเจ้าหน้าที่ปาเลสไตน์และอาจประกาศการสนับสนุนทางเศรษฐกิจครั้งใหม่ แต่นักวิเคราะห์และนักการทูตกล่าวว่าพวกเขาไม่ได้คาดหวังการพัฒนาที่สำคัญในความสัมพันธ์ระหว่างอิสราเอลกับปาเลสไตน์อย่างแท้จริง
อลอน พินกาส อดีตกงสุลใหญ่ชาวอิสราเอลในนิวยอร์ก(Alon Pinkas, an Israeli former consul general in New York)กล่าวว่า “การมีส่วนร่วมของสหรัฐฯ ในความขัดแย้งระหว่างอิสราเอลกับปาเลสไตน์ไม่ใช่เรื่องสำคัญอีกต่อไป สหรัฐฯ ได้เปลี่ยนวิธีการจัดการพันธมิตร โดยให้แนวร่วมระหว่างอิสราเอล-อ่าวอาหรับที่ต่อต้านอิหร่านมีความสำคัญต่อสหรัฐฯ มากกว่าการแก้ไขความขัดแย้ง”
คาดว่านายไบเดนและเจ้าภาพชาวอิสราเอลจะหารือเกี่ยวกับการเสริมความแข็งแกร่งของระบบประสานงานทางทหารระหว่างอิสราเอล พันธมิตรอาหรับใหม่ และกองทัพสหรัฐฯ คิดไม่ถึงระหว่างการเยือนอย่างเป็นทางการครั้งสุดท้ายของนายไบเดน ระบบนี้ช่วยให้กองทัพที่เข้าร่วมสามารถสื่อสารแบบเรียลไทม์เกี่ยวกับภัยคุกคามทางอากาศจากอิหร่านและตัวแทนของอิหร่าน และเคยใช้เพื่อช่วยกำจัดโดรนหลายลำให้อิสราเอล มีแม้กระทั่งการมีส่วนร่วมของซาอุดิอาระเบียในการประสานงานทางทหาร ซึ่งขณะนี้ไม่มีความสัมพันธ์ที่เปิดเผยกับอิสราเอล แต่มีความขัดแย้งกับอิหร่านอย่างชัดเจน
โธมัส อาร์. ไนเดส เอกอัครราชทูตสหรัฐฯ ประจำอิสราเอล (Thomas R. Nides, the U.S. ambassador to Israel)กล่าวในพอดคาสต์ล่าสุดว่า “เราจะไม่ประกาศการผลการคุยอย่างเป็นทางการกับซาอุดีอาระเบียในการเดินทางครั้งนี้ แต่นี่จะเป็นจุดเริ่มต้นของกระบวนการที่จะ แสดงความสำคัญของความมั่นคงในภูมิภาคโดยสหรัฐ-อิสราเอล-กลุ่มอาหรับ”
ในอดีต เจ้าหน้าที่ของซาอุดิอาระเบียกล่าวว่าพวกเขาจะหลีกเลี่ยงความสัมพันธ์ที่เป็นทางการกับอิสราเอลจนกว่าจะมีการก่อตั้งรัฐปาเลสไตน์ แต่ผู้นำชาวซาอุดิอาระเบียเริ่มวิพากษ์วิจารณ์ความเป็นผู้นำปาเลสไตน์มากขึ้นเรื่อยๆ และผู้แสดงความเห็นของซาอุดิอาระเบียสองคนแสดงการสนับสนุนให้มีการฟื้นฟูกับอิสราเอลในช่วงไม่กี่วันที่ผ่านมา
สื่อข่าวของอิสราเอลยังได้รายงานเกี่ยวกับการเจรจาลับหลังเพื่อเพิ่มจำนวนเครื่องบินของอิสราเอลที่ได้รับอนุญาตให้บินผ่านแผ่นดินใหญ่ของซาอุดิอาระเบีย และเพื่อให้อิสราเอลได้รับโอกาสให้มีบทบาทของผู้รักษาสันติภาพระหว่างประเทศบนเกาะเล็กๆ ทางยุทธศาสตร์ ๒ เกาะใกล้ชายฝั่งทางตอนใต้ของอิสราเอล ที่อียิปต์ ส่งมอบให้กับซาอุดิอาระเบียในปี ๒๕๖๐
สรุปว่าสหรัฐตั้งเป้าจะเอาผลประโยชน์บางอย่างจากซาอุดิอาระเบีย ด้านการทหารและพลังงาน เยือนเวสแบงก์อ้างแก้ปัญหาอิสราเอลขัดแย้งปาเลสไตน์ก็ไปแบบขอไปที่ และทริปนี้ผู้ได้ประโยชน์เต็มๆคือ อิสราเอล ยิ่งตอกย้ำว่า รัฐบาลสหรัฐขับเคลื่อนอยู่ภายใต้ผลประโยชน์ของอิสราเอลมากกว่า ผลประโยชน์ของประชาชนอเมริกันใช่หรือไม่ ท่ามกลางปัญหารุมเร้าภายในประเทศที่นับวันรอปะทุ!!