หลังจากที่สำนักข่าวต่างประเทศรายงานจากเมืองเดนปาซาร์ ประเทศอินโดนีเซีย เมื่อวันที่ 9 ก.ค. ที่ผ่านมา ที่นายแอนโทนี บลิงเคน รมว.การต่างประเทศสหรัฐ แถลงเกี่ยวกับการพบหารือกับนายหวัง อี้ มนตรีแห่งรัฐและรมว.การต่างประเทศจีน ที่เกาะบาหลีของอินโดนีเซีย
หลังผ่านพ้นการประชุมรัฐมนตรีต่างประเทศของกลุ่มประเทศเศรษฐกิจขนาดใหญ่ “จี20” โดยถือเป็นการหารือแบบพบหน้าครั้งแรกอย่างเป็นทางการของเจ้าหน้าที่การทูตหมายเลขหนึ่งทั้งสองประเทศ นับตั้งแต่เดือน ต.ค. ปีที่แล้ว ว่าเขากล่าวอย่างตรงไปตรงมากับอีกฝ่าย ว่ารัฐบาลวอชิงตัน “กังวลอย่างยิ่ง” ต่อ “ความสนิทสนม” ระหว่างจีนกับรัสเซีย เจ้าตัวย้ำอีกว่า สหรัฐฯไม่เคยเชื่อว่าจีน “วางตัวเป็นกลาง” เมื่อประเมินจากท่าทีของรัฐบาลปักกิ่งบนเวทีสหประชาชาติ (ยูเอ็น) และหลายต่อหลายครั้งที่จีนทำหน้าที่ราวกับ “กระบอกเสียงโฆษณาชวนเชื่อของรัสเซีย”
อีกทั้งบลิงเคน ยังกล่าวว่า การพบหารือระหว่างประธานาธิบดีสี จิ้นผิง ผู้นำจีน กับประธานาธิบดีวลาดิเมียร์ ปูติน ผู้นำรัสเซีย ที่กรุงปักกิ่ง เพียงไม่กี่วันก่อนสงครามในยูเครนปะทุ ว่าผู้นำทั้งสองประเทศประกาศยกระดับความร่วมมือเป็น “หุ้นส่วนยุทธศาสตร์ไร้ขีดจำกัด” ตามด้วยการที่สีกับปูตินสนทนาทางโทรศัพท์กันอย่างเป็นทางการ เมื่อวันที่ 13 มิ.ย. ที่ผ่านมา ซึ่งผู้นำจีนยังคงยืนยันจุดยืนการเป็นพันธมิตรเหนียวแน่นกับรัสเซีย
อย่างไรก็ตามทางด้าน ด้านหวัง อี้ ไม่ได้แถลงด้วยตัวเอง แต่กระทรวงการต่างประเทศของจีนเผยแพร่แถลงการณ์ว่า ความสัมพันธ์ระหว่างสหรัฐกับรัฐบาลปักกิ่ง “กำลังหลงทางมากขึ้น” ซึ่งเป็นผลจากมุมมองของรัฐบาลวอชิงตันที่มีต่อจีน ส่งผลให้เกิดสิ่งที่เรียกว่า “ไชนาโฟเบีย” หรือ “ความหวาดกลัวจีน” และทิ้งท้ายว่า เจ้าหน้าที่การทูตระดับสูงสุดของทั้งสองประเทศ สนทนา “เกี่ยวกับยูเครน” แต่ไม่มีการขยายความ