จีนฟาดเมกา!! สหรัฐมัวใส่ร้ายจีนไม่พัฒนาตัวเอง Tiktok พิสูจน์เทคฯจีนแซงหน้า Gen-Z เบื่อ Facebook-Instragram

0

ท่ามกลางการขับเคี่ยวระหว่างขั้วอำนาจเก่าและผู้ท้าชิงจัดระเบียบโลกใหม่ จีนยืนหยัดแสดงบทบาทความเป็นตัวของตัวเองเด่นชัดขึ้น ไม่ต้องเกรงใจสหรัฐและตะวันตกอีกต่อไป เพราะฝั่งตะวันตกเปิดหน้าชนจีนอย่างไม่ซ่อนเร้นอีกต่อไปแล้ว

เพจสาธารณะ World Maker สะท้อนภาพความก้าวหน้าทางเท็คโนโลยีของจีนที่เกี่ยวข้องกับชีวิตของประชาชนทั่วโลก รุดหน้าไกลจนสหรัฐหวาดหวั่น ออกอาการปิดกั้น โจมตีทุกอย่างของจีนอย่างไม่ลดละ แต่ก็ไม่อาจปฏิเสธข้อเท็จจริงได้อย่างกรณีของ Tiktok ดังนี้

World Maker ระบุว่า เทคโนโลยีจีนกำลังครองส่วนแบ่งโลกมากขึ้นเรื่อย ๆ !!! ล่าสุด Tiktok มียอดดาวน์โหลดแซงหน้า Instagram และ Facebook ไปแล้ว ! ขณะที่คนรุ่นใหม่ Gen-Z ต่างกล่าวเป็นเสียงเดียวกันว่า Instagram นั้นดูล้าหลังกว่า Tiktok ! มาดูกันว่างานนี้พี่มาร์คจะปรับกลยุทธ์เพื่อตอบโต้คู่แข่งจากจีนอย่างไร ? โดยเราจะเห็นตอนนี้มีคลิป Reels เกิดขึ้นมาแข่งกับ Tiktok แล้ว !

ล่าสุดดูเหมือนว่าเทคโนโลยีของจีนจะเข้าครอบครองตลาดมากขึ้นไปทุกทีแล้ว !!! โดยทาง The Economist เปิดเผยข้อมูลสถิติที่อัปเดตครั้งสุดท้ายในไตรมาสที่ ๑ ระบุว่าตอนนี้ยอดดาวน์โหลดโดยรวมของ Tiktok ทั้งใน Google Play และ App Store นั้นพุ่งสูงทะลุ Instagram และ Facebook ไปแล้วเรียบร้อย !

ทางฝั่งพี่ Mark Zuckerberg แห่งบริษัท Meta ออกมายอมรับอย่างชัดเจนว่า Tiktok จากจีนนั้นถือเป็นคู่แข่งรายใหญ่โดยตรงของเขา ขณะที่ตอนนี้ Facebook เริ่มมีการพัฒนาโครงการมาแข่งขันกับ Tiktok ซึ่งจะเห็นได้ชัดคือ Reels ที่ตอนนี้กำลังเป็นที่ฮิตกันอย่างมากใน Facebook

คาดว่ารายรับของ Tiktok จะสูงถึง ๒.๓ หมื่นล้านดอลลาร์ภายในปี ๒๐๒๔ ซึ่งเกือบทั้งหมดน่าจะมาจากการโฆษณา ขณะที่สถิติเพิ่มเติมเผยว่าประมาณ ๔๔% ของผู้ใช้ Tiktok คือเยาวชนชาวอเมริกันที่มีอายุต่ำกว่า ๒๕ ปีเทียบกับตัวเลขเพียง 16% ใน Facebook นั่นแสดงให้เห็นว่าคนรุ่นใหม่เล่น Tiktok มากกว่า Facebook เสียอีก

ประเทศไทยถือเป็น ๑ ในกลุ่มที่มีผู้ใช้งาน Tiktok เพื่ออ่านข่าวสารมากที่สุดในโลก และถือเป็นตัวแปรสำคัญสำหรับการขยายตลาดของจีนในอนาคตด้วย ขณะที่ประเทศอื่น ๆ ในแถบเอเชียและตลาดเกิดใหม่ หรือแม้แต่ประเทศใหญ่ ๆ ในยุโรป ก็ติดอันดับรายชื่อ Top ที่มีผู้ใช้งาน Tiktok มากที่สุดในโลก !

ทั้งนี้ ปฏิเสธไม่ได้ว่าสหรัฐฯ กำลังจับตามอง Tiktok อยู่อย่างใกล้ชิด และมีแนวโน้มที่ Tiktok อาจโดนขัดขวางการเติบโตได้หากความตึงเครียดระหว่าง ๒ มหาอำนาจโลกทวีความรุนแรงขึ้น เพราะการเดินหมากแบนเทคโนโลยีนั้นถือเป็น 1 เส้นทางที่ใช้ขัดขวางการพัฒนาในโลกอนาคตได้ดีที่สุด

ตอนนี้ Tiktok กำลังก้าวไปไกลกว่าแค่อุตสาหกรรมคลิปวิดีโอ และเริ่มมีการพูดถึงการช้อปปิ้ง, E-Commerce และข่าวสารรอบโลกที่เป็นสาระ จากเดิมที่เน้นคลิปวิดีโอไวรัลสั้น ๆ ให้เพื่อให้ความนิยมในหมู่วัยรุ่น แต่ตอนนี้ดูเหมือน Tiktok จะกำลังขยายตัวเพื่อเป็น Social Platform ยักษ์ใหญ่แห่งหนึ่งของโลกเลยทีเดียว

มารอดูกันว่าทาง ByteDance ซึ่งเป็นเจ้าของ Tiktok จะโดนมาตรการคว่ำบาตรอะไรจากสหรัฐฯ หรือไม่ ? World Maker บอกเลยว่าความเสี่ยงเหล่านี้มองข้ามไม่ได้ ! แม้จะยังไม่มีคำยืนยันใด ๆ ว่าสหรัฐฯ จะคว่ำบาตร แต่ทุกคนรู้ดีว่าตอนนี้ Tiktok กำลังถูกจับตามองอยู่อย่างใกล้ชิด !

ข้อมูลก็บ่งบอกชัดแล้วว่า จีนก้าวรุดหน้าไปชนะใจชาวโลกอย่างเห็นๆ ขณะที่สหรัฐและอังกฤษออกอาการ กล่าวหาจีนทุกวันล่าสุดกรรมการ FBI ของสหรัฐและ MI5 ของอังกฤษพร้อมใจกันออกมาให้สัมภาษณ์โจมตีว่า จีนกำลังขโมยเทคโนโลยีของประเทศตน ทำให้ กระทรวงการต่างประเทศจีนต้องออกมาตอบโต้ประณามคริสโตเฟอร์ เรย์ ผู้อำนวยการเอฟบีไอ และเคน แมคคัลลัม ผู้อำนวยการ MI5 ที่กล่าวหาปักกิ่งว่าขโมยเทคโนโลยีของตะวันตก และเป็นภัยต่อความมั่นคงของชาติ ว่า ข้อกล่าวหาดังกล่าวเป็น”เรื่องโกหก”

โฆษกกระทรวงการต่างประเทศจ้าว ลี่เจียน (Zhao Lijian) ตอบโต้เดือดว่า “ข้อเท็จจริงได้พิสูจน์แล้วอย่างเต็มที่ว่าสหรัฐฯ เป็นภัยคุกคามที่ใหญ่ที่สุดต่อสันติภาพ เสถียรภาพ และการพัฒนาของโลก จีนเรียกร้องให้วอชิงตัน หยุดพูดเท็จและหยุดพูดจาที่ไม่รับผิดชอบ”

เขาวิพากษ์ต่อหน่วยงานของสหรัฐว่า “หัวหน้าหน่วยรักษาความปลอดภัยของสหรัฐและสหราชอาณาจักรทั้งคู่ ต้องขับไล่ปีศาจในจินตนาการ ออกจากห้องมืดและ ออกมาพบกับแสงแดดและหยุดสร้างศัตรูในจินตนาการได้แล้ว”

ประเด็นความก้าวหน้าทางเท็คโนโลยีของจีน ทำให้สหรัฐหวั่นไหวเพราะตามไม่ทัน ทำให้จีนต้องเผชิญหน้ากับการกล่าวหาซ้ำซากของสหรัฐและตะวันตก แม้จะปฏิเสธข้อกล่าวหาเรื่องอาชญากรรมไซเบอร์ การจารกรรมทางอุตสาหกรรม การกล่าวหาว่าปักกิ่งใช้บริษัทเทคโนโลยีของจีนในการเก็บรวบรวมข้อมูลเกี่ยวกับผู้ใช้ชาวตะวันตก สิ่งเหล่านี้นำไปสู่การขึ้นบัญชีดำของบริษัทฟินเท็คของจีนหลายสิบแห่งโดยวอชิงตัน นอกจากนี้จีนยังถูกกล่าวหาว่าเป็นผู้โจมตีทางไซเบอร์จำนวนมากและเหตุการณ์ขโมยทรัพย์สินทางปัญญาหลายครั้ง ทั้งที่พิสูจน์แล้วว่าไม่จริงและ ที่ไม่ได้รับการพิสูจน์ เป็นการกล่าวหาอย่างลอยๆโดยกลยุทธ์โฆษณาชวนเชื่อ สะท้อนความไม่มั่นใจในตัวเองและรับไม่ได้ที่จีนก้าวล้ำไปอย่างคาดไม่ถึง!!