อาเซียนเฮ! รัสเซียสั่งผลิตน้ำมันเพิ่ม ขายให้เอเชียเท่านั้น! ขณะสั่งปิดท่อส่งน้ำมันสหรัฐ ทำขาดแคลนช่วงฤดูหนาว!

0

อาเซียนเฮ! รัสเซียสั่งผลิตน้ำมันเพิ่ม ขายให้เอเชียเท่านั้น! ขณะสั่งปิดท่อส่งน้ำมันสหรัฐ ทำขาดแคลนช่วงฤดูหนาว!

จากกรณีที่ CPC ซึ่งรับผิดชอบการส่งน้ำมันประมาณ 1% ของทั่วโลก ซึ่งมีบริษัทยักษ์ใหญ่ของสหรัฐอย่างเชฟรอนและเอ็กซอน โมบิล รวมอยู่ด้วย กล่าวว่า ปัญหาดังกล่าวเกี่ยวข้องกับการรั่วไหลของน้ำมัน ซึ่ง CPC ต้องปฏิบัติตามคำตัดสิน อย่างไรก็ดี CPC ปฏิเสธที่จะแสดงความคิดเห็นเพิ่มเติม

ทั้งนี้ ท่อส่งน้ำมันโครงการ CPC เป็นหนึ่งในท่อส่งน้ำมันที่ใหญ่ที่สุดในโลก ซึ่งส่งน้ำมันจากคาซัคสถานไปยังทะเลดำ กลายเป็นที่สนใจมาตั้งแต่รัสเซียเปิดปฏิบัติการพิเศษทางทหารในยูเครน ซึ่งจำกัดการส่งออกน้ำมันของรัสเซีย และทำให้ราคาน้ำมันพุ่งสูงขึ้น แม้สหรัฐจะใช้มาตรการคว่ำบาตรน้ำมันจากรัสเซีย ขณะเดียวกันก็ได้กล่าวว่า น้ำมันที่ส่งจากคาซัคสถานผ่านรัสเซียไม่ควรถูกปิดกั้น

ล่าสุดทางเพจ World Update ได้โพสต์ข้อความถึงกรณีที่รัสเซีย ปิดวาล์วท่อส่งน้ำมันสหรัฐ และสั่งผลิตน้ำมันเพิ่ม ขายให้เอเชียและทวีปอื่นๆ โดยบอกว่า

ด้วยขณะนี้สหรัฐ อยู่ในช่วงประกาศภาวะฉุกเฉินทางพลังงาน เนื่องจากขาด Supply น้ำมันนำเข้าจากรัสเซียถึง 800,000 บาร์เรล/วัน ทำให้สต็อคน้ำมันในภาวะปกติช็อตต้องงัดน้ำมันสำรองทางยุทธศาสตร์ในภาวะสงครามออกมาใช้ฉุกเฉิน แต่ด้วยสหรัฐ ไปยุยงให้สหภาพยุโรป (EU) คว่ำบาตรน้ำมันรัสเซีย แล้วหันมาซื้อน้ำมันจากตนแทน จึงทำให้สหรัฐ จึงเอาน้ำมันสำรองในยามสงครามเอามาขายให้ยุโรป เอเซียญี่ปุ่น เกาหลีใต้ และเอเซียบางชาติด้วย “เพื่อทุ่มตลาดให้ราคาน้ำมันโลกลดลงระยะสั้น”
ในเดือน มิ.ย.2022 ที่ผ่านมาสหรัฐ ทุบกระปุกน้ำมันสำรองออกมาขาย 5 ล้านบาร์เรล เพื่อพยายามฉุดราคาน้ำมันในสหรัฐ และยุโรปลงให้ต่ำกว่า 100 ดอลลาร์/บาร์เรล ในจำนวนนี้ขายให้อิตาลี 470,000 บาร์เรล , เนเธอร์แลนด์ จีน อินเดีย อีกบางส่วน โดยนางเจนเน็ต เยนเลน รัฐมนตรีคลังสหรัฐ ต่อสายด่วนหาผู้บริหารระดับสูงของจีน อ้อนวอนขอความช่วยเหลือลดอัตราเงินเฟ้อในสหรัฐฯ โดยรับปากว่าถ้าช่วยให้สหรัฐ รอดวิกฤตินี้จะตอบแทนโดยลดภาษีนำเข้าสินค้าจีน แต่จีนก็เฉยๆ
ด้วยพื้นที่สหพันธรัฐรัสเซีย และพันธมิตรโดยรอบนั้น คือ แหล่งทรัพยากรโลกกว่า 33% มากองรวมกันอยู่ในย่านนี้ ทั้งพลังงาน อาหาร สินแร่ ฯลฯ การมีปัญหาขัดแย้งกับรัสเซีย ก็เท่ากับต้องพาพลเมืองกลับไปสู่ยุคหินเก่า , ท่อลำเลียงน้ำมัน Caspian Pipeline Consortium (CPC) เป็นท่อลำเลียงน้ำมันดิบระหว่างประเทศ ที่มาจากบ่อน้ำมันใหญ่ที่สุดในทางภาคตะวันตกของคาซัคสถาน และบรรจบกับท่อน้ำมันที่มาจากรัสเซีย มารวมกันและผ่านดินแดนรัสเซีย ตรงไปยังทะเลดำและขนส่งทางเรือไปทั่วโลก
จัดเป็นหนึ่งในท่อลำเลียงน้ำมันที่ใหญ่ที่สุดในโลก ส่งน้ำมันประมาณ 1% ของทั่วโลก มีบริษัทยักษ์ใหญ่ของสหรัฐฯ เชฟรอน และเอ็กซอน โมบิล รวมอยู่ด้วย ส่งน้ำมันดิบจากคาซัคสถานสู่ยุโรปราวๆ 1.2 ล้านบาร์เรล/วัน และยังมีการส่งต่อทางเรือมุ่งหน้าสู่สหรัฐฯ อีกด้วย สหรัฐ ยุโรป ระบุว่าท่อ CPC นี้ไม่ถูกคว่ำบาตร อ้างว่าเป็นน้ำมันที่ส่งมาจากคาซัคสถาน ผ่านดินแดนรัสเซีย จึงไม่ควรถูกคว่ำบาตร แต่ในความจริงแล้วท่อนี้รวมน้ำมันของรัสเซีย ส่งรวมออกมาด้วย
ด้วยสำนักงานกำกับดูแลสวัสดิภาพและคุ้มครองผู้บริโภคของรัสเซีย ( Rospotrebnadzor) พบปัญหาทางเทคนิคที่ท่อน้ำมันนี้จากการรั่วไหลของน้ำมัน ที่ส่งผลกระทบต่อความปลอดภัยและสิ่งแวดล้อม ทางหน่วยงานนี้จึงยื่นคำร้องต่อ
ศาลเมืองโนโวรอสซีสค์ รัสเซีย ปิดท่อแห่งนี้ 30 วัน เพื่อตรวจสอบและบำรุงรักษา ซึ่งศาลได้เห็นชอบตามคำขอนั้น สร้างความวิตก ทุกข์ใจต่อชาติในสหภาพยุโรป (EU) อย่างมาก เพราะเป็นช่วงที่ยุโรป ต้องการกักตุนน้ำมันไว้ใช้ยามฤดูหนาว แม้กลุ่ม OpecPlus ที่นำโดยรัสเซีย กับกลุ่ม Opec ตกลงกันว่าจะผลิตน้ำมันเพิ่มเล็กน้อยราว 650,000 บาร์เรล/วัน แต่จะขายให้เอเซีย และทวีปอื่นเท่านั้นไม่ขายให้ยุโรป สหรัฐ
ปริมาณน้ำมันสำรองทางยุทธศาสตร์ในภาวะสงครามของสหรัฐ นั้นเหลือใช้ได้ไม่นานจากนี้หมายถึง “สหรัฐ จะไม่เหลือสินทรัพย์เปโตรค้ำค่าเงิน” ชาติใดซื้อน้ำมันล่วงหน้าจากสหรัฐ ไว้ในสัดส่วนสูงและมีเงินสำรองระหว่างประเทศสกุลดอลลาร์ในปริมาก จะมีความเสี่ยงสูงมากที่ค่าเงินสกุลตนเองจะอ่อนค่าลงอย่างหนัก และจะล้มละลายแบบศรีลังกา ดังนั้นอย่าตั้งกองทุนมาพยุงค่าเงิน และอย่าสำรองดอลลาร์เพิ่มเติมอีก แต่ให้รีบตัดจ่ายค่าสินค้าโภคภัณฑ์
พลังงานน้ำมันค้างเก่าผ่านระบบ SWIFT ออกไป แล้วซื้อหยวนจีนที่อัตราเงินเฟ้อต่ำแค่ 2.1% มาเป็นทุนสำรองระหว่างประเทศในสัดส่วนเพิ่มขึ้นแทนดอลลาร์ จากนั้นสั่งซื้อน้ำมันรัสเซียล่วงหน้าจากบริษัทลูกที่อยู่ UAE แล้วใช้ดอลลาร์เก่าที่อัตราเงินเฟ้อสูงตัดจ่ายออกไป ผสมสลับกับจ่ายเป็นเงินหยวนที่อัตราเงินเฟ้อต่ำ แบบนี้จะช่วยกดอัตราเงินเฟ้อในประเทศลง และค่าเงินท้องถิ่นแข็งค่าขึ้นเองตามธรรมชาติ