หลังจากที่ผลกระทบในกลุ่มสหภาพยุโรป เริ่มลุกลามหนัก เจอทั้งปัญหาเงินเฟ้อ และราคาพลังงานที่สูงขึ้นอย่างเลี่ยงไม่ได้ จนก่อนหน้านี้มีนักวิชาการต่างชาติหลายคนมองว่า ธุรกิจเล็ก ๆ ในลอนดอนมากกว่า 150 ธุรกิจ จะค่อย ๆ ล่มสลายหายไป และล่าสุดดูเหมือนว่า วิกฤตของประชากรในอังกฤษจะยังไม่จบเพียงเท่านี้
โดยล่าสุดในเพจเฟซบุ๊ก World Maker ได้รายงานว่า ราคาน้ำมันอังกฤษพุ่งไม่จบ ล่าสุดทำ All Time High ใหม่อีกครั้งไปเป็นที่เรียบร้อยแล้วประมาณ 83 บาท/ลิตร ขณะที่รัฐบาลเร่งหาวิธีแก้ไขเพราะผู้คนเริ่มประท้วงมากขึ้น แต่ราคาขายส่งน้ำมันเริ่มปรับตัวลดลงแล้ว มารอลุ้นกันว่าเงินเฟ้อในอังกฤษและราคาขายปลีกจะลดลงบ้างหรือไม่ ยังไม่จบสิ้นสำหรับการพุ่งขึ้นของราคาน้ำมัน เพราะล่าสุดมีรายงานออกมาว่าน้ำมันหน้าปั๊มของอังกฤษได้พุ่งแตะระดับสูงสุดเป็นประวัติการณ์ใหม่อีกครั้งอย่างต่อเนื่องที่ 191.53 เพนนี/ลิตร (2.32 ดอลลาร์) หรือราว ๆ ลิตรละ 82.81 บาทเข้าไปแล้ว
ซึ่งการพุ่งขึ้นของราคาน้ำมันนี้ ส่งผลให้เงินเฟ้อในอังกฤษอยู่ในภาวะสูงสุดในรอบหลายสิบปี แต่ในอีกแง่หนึ่ง พบว่าราคาขายส่งน้ำมันได้ลดลงเป็นเวลา 5 สัปดาห์ติดต่อกันแล้ว แต่ราคาหน้าปั๊มกลับยังคงเพิ่มสูงขึ้น ตรงนี้คงต้องมาติดตามกันต่อไปว่าเมื่อเวลาผ่านไปแล้ว ราคาน้ำมันหน้าปั๊มจะลดลงตามราคาขายส่งหรือไม่? ขณะที่ตอนนี้ราคาขายน้ำมันในอังกฤษถือว่าแพงที่สุดในกลุ่มเศรษฐกิจที่ใหญ่ที่สุดในยุโรป
การพุ่งขึ้นของเงินเฟ้อเหล่านี้ ทำให้ผู้คนในอังกฤษเริ่มออกมาประท้วงแสดงความไม่พอใจกันมากขึ้นเรื่อย ๆ และทำให้รัฐบาลต้องเร่งหาวิธีป้องกันในขณะที่ความนิยมเสื่อมถอยลงเรื่อย ๆ โดยล่าสุดได้มีการเสนอให้ ลดความเร็ว ในทางด่วนเพื่อประหยัดพลังงาน ทั้งนี้อังกฤษถือเป็นอีก 1 ประเทศที่ได้รับผลกระทบอย่างหนักที่สุดในรอบหลายสิบปีเนื่องจากต้นทุนพลังงานและอาหารที่สูงขึ้นจากการปัจจัยระดับมหภาค โดยเฉพาะอังกฤษเองนั้นถือเป็นคู่หูกับสหรัฐฯ และยุโรปในการออกมาตรการแบนรัสเซียโดยตรง ทำให้ผลกระทบต่าง ๆ จะเกิดขึ้นที่ประเทศเหล่านี้มากที่สุด ไม่ต่างจากความเสียหายที่เกิดขึ้นกับรัสเซียเลย
งานนี้คงต้องมาดูกันแล้วว่าใครจะยืนได้นานกว่าในสงครามที่ผลักดันเงินเฟ้อและค่าครองชีพทั่วโลกเช่นนี้? เพราะปัจจัยขับเคลื่อนเงินเฟ้อที่เกิดขึ้นในทั่วโลกนั้น อาจอยู่นอกเหนือการควบคุมของรัฐบาลอังกฤษ เนื่องจากเป็นปัญหาเงินเฟ้อจากภาค Supply ด้วย ไม่ใช่แค่ภาค Demand
ดังนั้นการจะแก้ไขปัญหาเงินเฟ้อที่เกิดขึ้นทั่วโลกนี้ ต้องอาศัยความร่วมมือจากทั้งฝั่ง Demand (ซึ่งควบคุมโดยรัฐบาล/ธนาคารกลางของประเทศตะวันตกเป็นหลัก) และ Supply (ซึ่งควบคุมโดยประเทศผู้ครอบครองทรัพยากรเป็นหลัก)
อย่างไรก็ตามยังมีรายงานด้วยว่า เอลิซาเบธ ทรัสส์ รัฐมนตรีกระทรวงการต่างประเทศ ของสหราชอาณาจักร เปิดเผยว่า ประเทศของเขาต้องการเอาแบบอย่างตามแคนาดา ด้วยการนำทรัพย์สินของรัสเซียที่ยึดได้จากมาตรการคว่ำบาตรไปมอบให้กับยูเครน เพื่อใช้ในการฟื้นฟูประเทศ มีการประเมินว่า อาคารบ้านเรือนในยูเครนมากกว่า 120,000 หลังถูกทำลายเสียหายจากการรุกรานของรัสเซีย ทำให้เกิดความต้องการงบประมาณมหาศาลเพื่อฟื้นฟูประเทศและเศรษฐกิจ