อัษฎางค์ถอดบทพระบรมราโชบาย ..ทำให้เห็นพระปรีชาญาณ ทรงมองเห็นวิธีการและการแก้ปัญหาอย่างทะลุปรุโปร่ง รู้สึกซาบซึ้งในพระมหากรุณาธิคุณ
ล่าสุด“อัษฎางค์ ยมนาค”ได้โพสต์เฟสบุ๊คระบุว่า“ดังน้ำทิพย์ชโลมใจ” จากการพระราชทานพระบรมราโชบาย เมื่อวาน ทำให้เราคนไทยเห็นได้อย่างชัดเจนว่า ในหลวงทรงเฝ้าติดตามการทำงานของรัฐบาลอย่างใกล้ชิด และทรงรับรู้ความเดือดร้อนของประชาชน
อันเนื่องมาจากในโลกโซเชี่ยลมีเดีย มีกลุ่มคนที่ตั้งใจจาบจ้วงในหลวงอยู่เป็นนิจสิน ใส่ร้ายว่าพระองค์ไม่สนใจความเดือดร้อนของประชาชนที่ประสบชะตากรรมกับโรคระบาดโควิด
แต่จากพระราชทานพระบรมราโชบาย เมื่อวาน ทำให้เราเห็นได้อย่างชัดเจนว่า พระองค์เฝ้าติดตามสถานการณ์อย่างใกล้ชิด ทำให้พระองค์ทรงรับรู้สถานการณ์ทุกอย่าง กระจ่างชัด ขอพระบรมราชานุญาต ถอดบทพระบรมราโชบาย เพื่อชี้ให้คนไทยได้เห็นว่า พระองค์เฝ้าติดตามสถานการณ์อย่างใกล้ชิด และพระองค์ทรงรับรู้สถานการณ์ทุกอย่าง ด้วยภาษาแบบชาวบ้าน ด้วยเกล้าด้วยกระหม่อม ขอเดชะ
วันที่ 6 เมษายน 2563 พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว และสมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินี เสด็จออก ณ พระที่นั่งอัมพรสถาน พระราชวังดุสิต พระราชทานพระบรมราชวโรกาสให้ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา และคณะ เข้าเฝ้าฯรายงานสถานการณ์โควิด-19 พร้อมรับพระราชทานอุปกรณ์ทางการแพทย์
ในการนี้ พระราชทานพระบรมราโชบาย เพื่อเป็นแนวทางในการรับมือ กับสถานการณ์การแพร่ระบาด ของโรคโควิด-19 ความว่า “มีอะไรที่จะมีส่วนช่วยเหลือ ที่จะแก้ปัญหาก็ยินดี เพราะว่าก็เป็นปัญหาของชาติ” (ทรงพระกรุณาโปรดเกล้า เสนอความช่วยเหลือ) “ซึ่งเรื่องโรคระบาดนี่ก็ไม่ใช่ความผิดของใคร แล้วสิ่งที่เกิดขึ้น ก็คือเรามีหน้าที่ที่จะดูแลแก้ไขให้ดีที่สุด” (ทรงช่วยรัฐบาลพูด ให้ประชาชนเข้าใจว่า ไม่ใช่ความผิดของใคร รวมทั้งของรัฐบาล เพราะมีกลุ่มคนกล่าวหาว่า ปัญหาโรคระบาด คือความผิดของรัฐบาล แต่พระองค์ทรงตรัสว่า เรื่องโรคระบาดนี่ก็ไม่ใช่ความผิดของใคร)
“อย่างที่เคยพูดไว้ว่า ถ้าเกิดมีความเข้าใจในปัญหา มีความเข้าใจ ไม่ใช่หมายความว่ายอมรับตามบุญตามกรรม แต่มีความเข้าใจในสถานการณ์ มีความเข้าใจในปัญหา และก็มีความรู้เกี่ยวกับโรค ก็คือเข้าใจในปัญหานั่นเอง อันแรกก็เป็นอย่างนี้” (ตรงนี้แสดงให้เห็นชัดเจนว่า พระองค์มีพระปรีชาสามารถมองปัญหาและแนวทางแก้ไขได้ทะลุปรุโปร่ง) “อันที่ 2 ก็คือจากข้อที่ 1 ก็คือการมีการบริหารจัดการ มีแผนเผชิญเหตุ มีระบบในการปฏิบัติ แก้ไขให้ถูกจุด รู้ปัญหา” (ตรงนี้คือยุทธศาสตร์ในการจัดการกับปัญหา ซึ่งเป็นหลักสากล ซึ่งแสดงถึงพระปรีชาญาณ พระองค์จะกล่าวถึงยุทธวิธีในการจัดการกับปัญหานี้ไม่ได้เลย ถ้าพระองค์ไม่ได้เฝ้าติดตามสถานการณ์และการทำงานของรัฐบาลอย่างใกล้ชิด)
“แก้ไขให้ถูกจุดโดยมีการบริหารจัดการ แล้วก็ในเวลาเดียวกันก็ต้องให้ประชาชนได้เข้าใจถึงวิธีปฏิบัติที่ถูกต้อง และเหตุผลที่จะต้องปฏิบัติ” (พระองค์ mention ถึงรัฐบาล และประชาชนไปพร้อมกัน ว่าต้องให้ประชาชนเข้าใจว่ารัฐบาลกำลังทำอะไร เพื่อจะได้เกิดความร่วมมือร่วมใจกัน) “เพราะว่าการมีระบบ หรือแผนในการปฏิบัติตามแผนที่ได้วางไว้ตามความเป็นจริง ตามสถานการณ์ที่เกิดขึ้นจริง แก้ถูกจุด ก็จะลดปัญหาลงไป จะแก้ได้ในที่สุด” (นอกจากจะทรงชี้แนะวิธีปฏิบัติแล้ว ยังชี้ให้เห็นถึงช่องทางความสำเร็จที่จะตามมาอีกด้วย)
“ก็เชื่อแน่ว่าจะต้องแก้ไขและก็เอาชนะอันนี้ได้ เพราะว่าประเทศของเรานี่ก็นับว่าทำได้ดี ประเทศของเรานี่น่าภูมิใจว่าทำได้ดี และก็ทุกคนก็ร่วมใจกัน ก็ดีกว่าที่อื่นอีกหลายที่” (ทรงแสดงความชื่นชมต่อการทำงานของรัฐบาลและหน่วยงานทุกภาคส่วนในประเทศไทย ซึ่งก็แสดงว่า ทุกความเคลื่อนไหวในประเทศอยู่ในสายพระเนตรตลอดเวลา ทำให้พระองค์ทรงเห็นว่าใครทำอะไร อยู่ที่ไหน และทำงานหนักเช่นไร)
“แต่บางทีก็ต้องเน้นเรื่องการทำงานมีระบบด้วยความเข้าใจ และการมีระเบียบวินัยในการแก้ไขปัญหา” (ทุกท่านเห็นเหมือนผมไหมว่า ทุกการเคลื่อนไหวในประเทศไทยอยู่ในสายพระเนตรของพระองค์ เพราะประโยคนี้บอกกับเราว่า พระองค์ทราบปัญหาของการทำงานของหน่วยงานต่างๆ ในขณะนี้ว่า ยังไม่เป็นระบบเท่าที่ควรจะเป็น และทั้งเจ้าหน้าที่และประชาชนยังขาดระเบียบวินัย เป็นการชี้จุดบกพร่องด้วยคำสุภาพที่สูงส่งมาก แต่และการชี้ให้เห็นปัญหาอย่างแท้จริงด้วยความจริงใจของพระองค์) “โดยมีเป้าหมายว่าเราจะต้องต่อสู้ให้โรคนี้สงบลงไปได้ในที่สุด” (เป็นประโยคที่พระราชทานกำลังใจ)
“เพราะว่าโรคมาได้ โรคก็ไปได้ โรคจะไม่ไปถ้าเราไม่แก้ไขปัญหา เราไม่แก้ไขให้ถูกจุด หรือเราไม่มีความขันติอดทนที่จะแก้ไข” (ทุกท่านเห็นไหม พระองค์ศึกษาทั้งปัญหาและวิธีการจัดการรับมือกับโรคระบาดนี้อย่างแตกฉาน จึงมองปัญหาและทางแก้อย่างตรวจจุด)
“บางทีก็ต้องสละในความสุขส่วนตัวบ้าง หรือเสียสละในการกล้าที่จะสร้างนิสัยหรือสร้างวินัยในตัวเอง ที่จะแก้ไขเพื่อตัวเอง เพื่อส่วนรวม อันนี้เราก็ขอเป็นกำลังใจให้” (ตรงนี้พระองค์ Mention ถึงคนไทยทุกคน ให้ทุกคนเสียสละ สร้างนิสัย สร้างวินัย เพราะเราทุกคนต้องเปลี่ยนนิสัยและวิธีดำเนินใหม่หมด เพื่อที่จะดูแลตัวเองตามคำแนะนำของรัฐบาลโดยแพทย์ผู้เชี่ยวชาญ ทั้งเพื่อตนเอง และเพื่อสังคม)
ผมฟังจบแล้ว ต้องฟังซ้ำ เพราะรู้สึกซาบซึ้งในพระมหากรุณาธิคุณ หรือพูดแบบชาวบ้านว่า ประทับใจมาก ที่พระองค์ใส่ใจกับปัญหา ใส่ใจการทำงานของรัฐบาล และใส่ใจประชาชนอย่างเรามาก ที่สำคัญ ทำให้เห็นพระปรีชาญาณ หรือพูดแบบชาวบ้านว่า พระองค์ฉลาดมาก ทรงศึกษาปัญหา และทรงเข้าใจถึงปัญหา ทรงมองเห็นวิธีการและการแก้ปัญหาอย่างทะลุปรุโปร่ง พระบรมราโชบาย เพื่อเป็นแนวทางในการรับมือ กับสถานการณ์การแพร่ระบาด ของโรคโควิด-19 นี้ ลบคำครหาอันจาบจ้วงพระองค์ของกลุ่มคนปฏิกษัตริย์นิยมลงได้อย่างราบคาบ
สุดท้าย ภาพที่พระองค์ตรัสไปอมยิ้มไป ทำให้รู้สึกมีความสุขสดชื่นแจ่มใสมาก รวมทั้งภาพตอนที่นายกรัฐมนตรีและคณะก้มลงหมอบกราบ แล้วสมเด็จพระราชินีทรงลงนั่งคุกเข่า เป็นภาพพระอิริยาบถที่เราคนไทยเห็นอยู่เสมอ ซึ่งเป็นสิ่งที่เรียกได้ว่า อ่อนน้อมต่อกันไว้ก่อน ที่งดงาม เหลือเกิน
ขอจงทรงพระเจริญยิ่งยืนนาน ด้วยเกล้าด้วยกระหม่อม ขอเดชะ ข้าพระพุทธเจ้า นายอัษฎางค์ ยมนาค
“ดังน้ำทิพย์ชโลมใจ”จากการพระราชทานพระบรมราโชบาย เมื่อวาน…
Posted by อัษฎางค์ ยมนาค on Monday, April 6, 2020