หลังจากที่ประชากรสหรัฐฯ จำนวนมาก ออกมาวิพากษ์วิจารณ์ถึงการทำงานภายใต้รัฐบาลไบเดน ว่าไม่ได้มีการแก้ปัญหาให้ประเทศจริงจัง แต่กลับมุ่งเน้นเรื่องช่วยยูเครนในเรื่องอาวุธเสียมากกว่า ทำให้คะแนนนิยมของไบเดน ลดลงอย่างมาก รวมทั้งเจอปัญหาเงินเฟ้อ ค่าพลังงานแพงหนักขึ้น และลามถึงตลาดหุ้นสหรัฐฯดิ่งลงเหว ในรอบ 50 ปี
ล่าสุดประธานาธิบดี โจ ไบเดน แห่งสหรัฐฯ ออกมาเตือนชาวอเมริกันว่าให้ “ทำใจ” ว่าอาจจะต้องจ่ายค่าน้ำมันแพง “ต่อไปเรื่อย ๆ” จนกว่าประธานาธิบดี วลาดิมีร์ ปูติน จะพ่ายแพ้สงครามในยูเครน
โดยมีรายงานว่า ระหว่างที่ ไบเดน เปิดแถลงข่าวในการประชุมซัมมิตผู้นำนาโตที่กรุงมาดริดเมื่อวันพฤหัสบดี ที่ 30 มิ.ย.ที่ผ่านมา ผู้สื่อข่าวคนหนึ่งได้ยิงคำถามว่า “ผู้ขับขี่ยวดยานชาวอเมริกันและทั่วโลกจะต้องจ่ายค่าเชื้อเพลิงแพงเพื่อสงครามครั้งนี้ไปอีกนานแค่ไหน”
คำตอบของผู้นำสหรัฐฯ ก็คือ “นานเท่าไหร่ก็เท่านั้น หากมันจะทำให้รัสเซียไม่สามารถเอาชนะยูเครน และรุกรานต่อไปยังที่อื่น ๆ”
ที่ผ่านมา ราคาน้ำมันเฉลี่ยในสหรัฐฯ พุ่งสูงสุดเป็นประวัติการณ์ไปอยู่ที่ 5 ดอลลาร์สหรัฐต่อแกลลอนในเดือนนี้ แม้ว่า ไบเดน จะสั่งปล่อยน้ำมันออกจากคลังสำรองทางยุทธศาสตร์เพื่อช่วยควบคุมราคาแล้วก็ตาม โดยไบเดนยังเรียกร้องให้สภาคองเกรสงดเก็บภาษีน้ำมันชั่วคราวเป็นเวลา 3 เดือนเพื่อลดภาระให้แก่ผู้บริโภค แต่ว่าก็เผชิญเสียงคัดค้านจากคนในพรรคเดโมแครตเองด้วย
ผลสำรวจความคิดเห็นโดย Associated Press-NORC Center for Public Affairs Research ที่เผยแพร่เมื่อวันที่ 29 มิ.ย. พบว่า คนอเมริกัน 60% รู้สึก “ไม่พอใจ” ในภาวะผู้นำของ โจ ไบเดน และในแง่ของการบริหารจัดการเศรษฐกิจนั้นมีผู้ที่ตอบว่า “ไม่พอใจ” เกือบ 70%
ชาวอเมริกันเกือบ 80% ยังรู้สึกว่าสภาพเศรษฐกิจสหรัฐฯ ตอนนี้ “ย่ำแย่”
ไบเดน ให้สัมภาษณ์กับ AP เมื่อเร็ว ๆ นี้ว่า เขาทราบดีว่ากำลังถูกชาวอเมริกันต่อว่าต่อขาน และราคาพลังงานยิ่งสูงเท่าไหร่ คะแนนนิยมของเขาก็ยิ่งดิ่งเหวลงเท่านั้น
เมื่อผู้สื่อข่าว AP ถามย้ำว่า “ใครกันแน่เป็นต้นเหตุ” ไบเดน ก็ตอบว่า “ถ้าเป็นความผิดของผม แล้วทำไมประเทศอุตสาหกรรมขนาดใหญ่ทั่วโลกก็เผชิญปัญหาเงินเฟ้อเหมือนกันหมดล่ะ คุณเคยลองถามตัวเองบ้างไหม ผมเองก็ไม่ค่อยฉลาดเท่าไหร่หรอก”
มาตรการคว่ำบาตรที่สหรัฐฯ ใช้ลงโทษรัสเซียส่งผลกระทบเป็นลูกโซ่จนทำให้ราคาพลังงานและอาหารพุ่งสูงขึ้นทั่วโลก แต่ ไบเดน ย้ำว่าการตัดสินใจเหล่านี้คือสิ่งจำเป็น และตนทำลงไปในฐานะ “ผู้นำสูงสุด” ไม่ใช่ “ผู้สมัครชิงตำแหน่งทางการเมือง”
อย่างไรก็ตาม เจ้าตัวถามปิดท้ายด้วยว่า “ผมเป็นประธานาธิบดีของสหรัฐอเมริกา ผมไม่ได้ทำเพื่อความอยู่รอดทางการเมืองของตัวเอง แต่ผมทำสิ่งที่ดีที่สุดสำหรับประเทศของเรา ถ้าหากนาโตซึ่งเป็นกลุ่มพันธมิตรทางทหารที่แข็งแกร่งที่สุดหันหลังให้กับความก้าวร้าวของรัสเซีย คุณคิดว่าอะไรจะเกิดขึ้น?”