หอการค้าไทย-จีน เผยผลการสำรวจดัชนีความเชื่อมั่น ไตรมาส ๔ ปี ๒๕๖๕ นักธุรกิจจีนในไทยยังจับตาความขัดแย้งยืดเยื้อของชาติมหาอำนาจ กังวลภาวะเงินเฟ้อไทย ราคาพลังงานที่เพิ่มสูงขึ้น คาดนักท่องเที่ยวจีนจะกลับมาไตรมาสแรกของปีหน้า๒๕๖๖ ชี้ ๓ ธุรกิจที่ไทยต้องเร่งแก้ไขขจัดอุปสรรคในการดำเนินการได้แก่ การท่องเที่ยว พืชผลการเกษตร และราคาพลังงาน
วันที่ ๓๐ มิถุนายน ๒๕๖๕ นายณรงค์ศักดิ์ พุทธพรมงคล ประธานกรรมการ หอการค้าไทย-จีน เปิดเผยว่า หอการค้าไทย-จีน และคณะเศรษฐศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ได้ทำการสำรวจดัชนีความเชื่อมั่น จากคณะกรรมการกิตติมศักดิ์ คณะกรรมการบริหาร และสมาชิกหอการค้าไทยจีน และประธาน ผู้บริหาร กรรมการสมาพันธ์หอการค้าไทยจีน และกลุ่มนักธุรกิจรุ่นใหม่หอการค้าไทยจีน จำนวน ๓๒๕ คน ระหว่างวันที่ ๑๖ ถึง ๒๔ มิถุนายน ๒๕๖๕ เพื่อคาดการณ์ทิศทางเศรษฐกิจในไตรมาสที่ ๓ ของปี ๒๕๖๕ ได้ดังนี้
ในระยะเวลาไม่กี่เดือนที่ผ่านมา สถานการณ์โลกมีการเปลี่ยนแปลงหลายด้าน จากเหตุดังกล่าวจึงมีการสำรวจปัจจัยที่มีความกังวลที่เกิดมาจากสถานการณ์ในต่างประเทศ พบว่าผู้ให้ข้อมูลความกังวลในสองลำดับแรกคือสถานการณ์ความขัดแย้งที่ยืดเยื้อของชาติมหาอำนาจ และราคาพลังงานที่เพิ่มสูงขึ้น ที่สร้างความกังวลกับผู้ให้ข้อมูลเป็นอย่างมาก (เป็นจำนวนร้อยละ ๗๖ และ ๖๘ ตามลำดับ)
ในขณะที่ความกังวลในลำดับรองลงมาคือราคาอาหารโลกที่เพิ่มสูงขึ้นและความผันผวนของตลาดการเงิน (เป็นจำนวนร้อยละ ๓๘ และ ๒๙ ตามลำดับ) จากสถานการณ์โควิดในวันนี้พบว่าผู้ให้ข้อมูลส่วนใหญ่มีความกังวลอยู่บ้างแต่ใช้ชีวิตที่ผ่อนคลายมากขึ้น (ร้อยละ ๖๕) และอีกส่วนหนึ่งมีความกังวลพอควรและใช้ชีวิตระวังเช่นเดิม (ร้อยละ ๒๐) และมีผู้ให้ข้อมูลบางส่วนได้หมดความกังวลแล้ว (ร้อยละ ๑๑) สถานการณ์คลี่คลายความกังวลจากโควิดเป็นสัญญาณที่ดีมากต่อการฟื้นตัวของเศรษฐกิจภายในประเทศ
จากการปรับตัวของราคาพลังงานและต้นทุนวัตถุดิบที่เพิ่มสูงขึ้นในไตรมาสที่สอง ผู้ให้ข้อมูล ได้แบ่งปันประสบการณ์ผลกระทบต่อต้นทุนทางธุรกิจ และพบว่าร้อยละ ๕๐ ของผู้ให้ข้อมูลที่สำรวจมีต้นทุนการประกอบธุรกิจเพิ่มขึ้นระหว่างร้อยละ ๑๐ ถึง ๒๐ ร้อยละ ๓๑ ของผู้ให้ข้อมูลมีต้นทุนเพิ่มขึ้นระหว่างร้อยละ ๒๐ ถึง ๔๐ และร้อยละ ๑๒ ของผู้ให้ข้อมูลมีต้นทุนเพิ่มมากกว่าร้อยละ ๔๐
จากประเด็นดังกล่าวจึงมีคำถามต่อเนื่องหากในสามเดือนหน้าราคาน้ำมันและวัตถุดิบยังคงเดิมเช่นวันนี้จะมีการปรับราคาสินค้าหรือไม่ พบว่าร้อยละ ๕๑ ของผู้ให้ข้อมูลจะต้องปรับราคาเพิ่มขึ้นเล็กน้อย ร้อยละ ๒๕ ของผู้ให้ข้อมูลต้องปรับราคาเพิ่มขึ้นให้เท่ากับต้นทุนที่เพิ่มขึ้นดังที่ผ่านมา และมีเพียงร้อยละ๑๔ ยังรอการปรับราคาได้ แนวโน้มดังกล่าวส่งสัญญาณว่าปัญหาทางด้านเงินเฟ้อคงยังไม่ชะลอตัวลง
ทั้งนี้ เมื่อได้สอบถามสถานการณ์ทางเศรษฐกิจของประเทศจีนกล่าวคือในระยะที่ผ่านมารัฐบาลจีนมีการปรับลดอัตราดอกเบี้ยระยะยาวเพื่อแก้ไขปัญหาของภาคอสังหาริมทรัพย์และกระตุ้นเศรษฐกิจภายในประเทศ ผู้ให้ข้อมูลร้อยละ ๖๐ คาดว่าสัญญาณการฟื้นตัวของเศรษฐกิจจีนจะต้องใช้เวลามากกว่าอีกหกเดือนจากวันนี้
ขณะที่ร้อยละ ๓๔.๕ คาดว่าต้องใช้เวลาระหว่างสามถึงหกเดือน จากนโยบายปลอดโควิดของจีนนั้นที่ทำให้เกิดการปิดบังเมืองชั่วคราว ผู้ให้ข้อมูลให้ข้อคิดเห็นว่านโยบายดังกล่าว มีผลต่อการส่งออกของประเทศไทยไปยังประเทศจีน โดยที่ร้อยละ ๔๘ ของผู้ให้ข้อมูลระบุว่ามีผลกระทบเป็นอย่างมาก และร้อยละ ๓๑ มีผล กระทบพอประมาณ จากสถานการณ์ภายในประเทศจีนต่อการเดินทางไปต่างประเทศ ร้อยละ ๔๔ ของผู้ให้ข้อมูลคาดการณ์ว่านักท่องเที่ยวจีนจะกลับมาเยือนประเทศไทยในไตรมาสแรกของปี ๒๕๖๖
ในขณะที่ร้อยละ ๑๖ ของผู้ให้ข้อมูลคาดว่านักท่องเที่ยวจีนจะกลับมายืนเมืองไทยก่อนสิ้นปี ๒๕๖๕ ส่วนผู้ให้ข้อมูลที่เหลือคาดว่าต้องรอจนหลังไตรมาสที่สองของปี ๒๕๖๖ ที่นักท่องเที่ยวจีนจะกลับมาประเทศไทยอีกครั้งหนึ่ง
เช่นเดียวกับเรื่องของการท่องเที่ยวอีกเช่นกันจากนโยบายผ่อนปรนจนกระทั่งไม่มีการตรวจโควิดกับนักท่องเที่ยวก่อนเข้าประเทศ ผู้ให้ข้อมูลร้อยละ ๕๕ คาดว่าต้องใช้เวลาระหว่างสามถึงหกเดือน การท่องเที่ยวจะนำไปสู่การฟื้นฟูเศรษฐกิจไทยอีกครั้งหนึ่งอย่างเต็มที่ ขณะที่ร้อยละ ๓๖.๘ คาดว่าต้องใช้เวลามากกว่าอีกหกเดือน
“เมื่อพิจารณาถึงความสัมพันธ์ทางเศรษฐกิจระหว่างจีนและไทย จากการสำรวจพบว่าร้อยละ ๒๙ คาดว่าเศรษฐกิจ การค้า การลงทุนโดยรวมของจีนในไตรมาสที่ ๓ จะดีขึ้น เมื่อเทียบกับไตรมาสที่ ๒ ในขณะที่ร้อยละ ๔๓ คาดว่าเศรษฐกิจจีนจะทรง ๆ ส่วนร้อยละ ๒๒ มีความเห็นว่าเศรษฐกิจจีนน่าจะเติบโตช้าลง”
ซึ่งผลการประเมินดังกล่าวได้สะท้อนถึงการคาดคะเนการส่งออกของไทยไปยังประเทศจีนในไตรมาสที่ ๓ เมื่อเทียบกับไตรมาสปัจจุบันกล่าวคือ ร้อยละ ๕๔ คาดว่าการส่งออกของไทยไปยังจีนจะเพิ่มขึ้น และร้อยละ ๒๗ ยังไม่เปลี่ยนแปลงไปจากปัจจุบัน การคาดคะเนการนำเข้านั้น ร้อยละ ๕๘ คาดว่าการนำเข้าจากจีนจะเพิ่มสูงขึ้น และร้อยละ ๒๓ การนำเข้าจะทรงตัว ส่วนผลของการสอบถามความคิดเห็น
ด้านการลงทุนของจีนในไทย พบว่า ร้อยละ ๕๖ ของผู้ให้ข้อมูลคิดว่าการลงทุนจากจีนในไทยในไตรมาสที่สามเมื่อเปรียบเทียบกับไตรมาสที่สองจะเพิ่มขึ้นในขณะที่ร้อยละ ๒๘ ของผู้ให้ข้อมูลคาดว่าการลงทุนจะไม่เปลี่ยนแปลงไปจากปัจจุบัน กล่าวโดยสรุปได้ว่าเศรษฐกิจจีนมีแนวโน้มที่น่าจะปรับตัวดีขึ้นบ้างในอีกสามเดือนหน้า และน่าจะมีผลที่ดีกับประเทศไทยในเรื่องการค้า และการลงทุนระหว่างประเทศ
การสำรวจการคาดการณ์สถานการณ์เศรษฐกิจ การค้า การลงทุนของไทยโดยรวม ในไตรมาสที่ ๓ เมื่อเทียบกับไตรมาสปัจจุบัน สรุปได้ว่าร้อยละ ๕๒ คาดว่าเศรษฐกิจไทยจะดีขึ้น ร้อยละ ๒๕ จะทรง ๆ ขณะที่ร้อยละ ๒๐ไตรมาสที่ ๓ จะชะลอตัวลงอีก
ทั้งนี้ภาคธุรกิจที่ยังสามารถขับเคลื่อนเศรษฐกิจไทยในไตรมาสหน้า คือ ธุรกิจการท่องเที่ยว พืชผลการเกษตร ธุรกิจบริการสุขภาพ และธุรกิจออนไลน์ ส่วนธุรกิจที่ต้องได้รับการแก้ไขอย่างเร่งด่วน คือ ธุรกิจการท่องเที่ยว พืชผลการเกษตร และพลังงานและสาธารณูปโภค การสอบถามเพิ่มเติมในส่วนของอุตสาหกรรมการท่องเที่ยว พบว่าเป็นอุตสาหกรรมเป็นโอกาสของประเทศไทยที่สำคัญและจะนำไปสู่การฟื้นตัวของเศรษฐกิจได้หากได้รับการแก้ไขอุปสรรคอย่างรวดเร็ว
“กล่าวโดยสรุป ผลการสำรวจในครั้งนี้ สิ่งภาคเอกชนต้องติดตาม คือ สถานะการณ์ความขัดแย้งของมหาอำนาจที่จะมีผลกระทบต่อเศรษฐกิจโลกและไทย สถานการณ์ค่าเงินบาทที่อ่อนตัวลง มีผลทำให้การนำเข้าพลังงานมีต้นทุนสูงขึ้นมาก ในขณะที่ภาคการท่องเที่ยวที่จะได้ประโยชน์จากการที่บาทอ่อน ยังไม่สามารถหวังผลได้เต็มที่ จะกดดันให้เงินเฟ้อค่อย ๆ สูงขึ้น โดยภาคเอกชนก็ยังมีความกังวลใจกับการปรับราคาสินค้าขึ้นตามภาวะเงินเฟ้อ”