70ปีหลวงปู่มั่น ละสังขาร กาลธรรมไม่ดับสลาย ตำนานกรรมฐานสายพระป่า

0

11 พฤศจิกายน 2562 เป็นวันคล้ายวันละสังขาร ปีที่ 70 ของหลวงปู่มั่น จอมทัพธรรมแห่งกรุงรัตนโกสินทร์ อริยะสงฆ์ผู้เป็นต้นแบบพระแท้แห่งพุทธกาล บูรพาจารย์สายพระป่าด้วยบารมีธรรมดุจแสงอาทิตย์ฉายกล้าทั่วอาณาเขตพุทธทั้งไทยและต่างประเทศ ทอดผ่านเผยแผ่สู่กาลสมัยไม่ดับสลาย!!!

หลวงปู่มั่น ภูริทตโต มีนามตามสมณศักดิ์ว่า พระครูวินัยธรมั่น ภูริทตโต เป็นพระภิกษุฝ่ายธรรมยุติกนิกาย ผู้เป็นบูรพาจารย์สายพระป่าในประเทศไทย ยึดปฏิบัติตนตามแนวทางคำสอนพระศาสดาอย่างเคร่งครัด ถือธุดงควัตรด้วยจริยวัตรปฏิปทางดงาม จนได้รับการยกย่องจากผู้ศรัทธาทั้งหลายว่าเป็นพระผู้เลิศทางธุดงควัตร

ปฏิบัติสมถะและวิปัสสนาตามหลักธรรมคำสอนของสมเด็จพระสัมมาพุทธเจ้าอย่างกว้างขวาง จนมีพระสงฆ์และฆราวาสเป็นลูกศิษย์จำนวนมาก แนวคำสอนของท่านเป็นที่รู้จักกันดีในนามว่า คำสอนพระป่า โดยลูกศิษย์เรียกว่า พระกรรมฐานสายวัดป่า หรือ พระกรรมฐานสายหลวงปู่มั่น ท่านได้รับยกย่องจากผู้ศรัทธาให้เป็น พระอาจารย์ใหญ่สายวัดป่า สืบมาจนกาลปัจจุบัน

ชาติกำเนิด

พระอาจารย์มั่น ภูริทตโต เดิมมีชื่อว่า มั่น แก่นแก้ว เกิดเมื่อวันพฤหัสบดีที่ 20 มกราคม พ.ศ. 2413 ณ บ้านคำบง ตำบลสงยาง อำเภอโขงเจียม  จังหวัดอุบลราชธานี

บรรพชา

อายุ 15 ปีบรรพชาเป็นสามเณร ณ วัดบ้านคำบง เมื่อบวชได้ 2 ปี บิดาขอร้องให้ลาสิกขาเพื่อช่วยงานทางบ้าน จิตท่านยังหวนคิดถึงร่มผ้ากาสาวพัสตร์อยู่เนืองนิจ เพราะติดใจในคำสั่งของยายว่า เจ้าต้องบวชให้ยาย เพราะยายก็ได้เลี้ยงเจ้ายากนัก

ต่อมาหลวงปู่เสาร์ กนตสีโล เดินธุดงค์มาปักกลดอยู่ที่ บ้านคำบง พระอาจารย์มั่นในขณะเป็นฆราวาสจึงเข้าถวายการรับใช้และมีจิตศรัทธาในข้อวัตรปฏิบัติของหลวงปู่เสาร์ จึงได้ถวายตัวเป็นศิษย์ติดตามเดินทางเข้าเมืองอุบลราชธานี

อุปสมบท

อายุ 23 ปีอุปสมบทเป็นพระภิกษุ ณ วัดเลียบ อ.เมือง จังหวัดอุบลราชธานี วันที่ 12 มิถุนายน พ.ศ. 2436 โดยมีพระอริยกระวี (อ่อน ธมมรกขิโต) เป็นพระอุปัชฌาย์ พระครูสีทา ชยเสโน เป็นพระกรรมวาจาจารย์ พระครูประจักษ์อุบลคุณ (สุ่ย ญาณสโย) เป็นพระอนุสาวนาจารย์ ได้รับขนาดนามเป็นภาษามคธว่า ภูริทตโต แปลว่า ผู้ให้ปัญญา

แสวงหาธรรม

ปี 2436 พระอาจารย์มั่น ได้ออกจาริกเดินธุดงค์ติดตามหลวงปู่เสาร์ กนตสีโล ไปตามลำแม่น้ำโขงทั้งฝั่งประเทศไทยและประเทศลาว ได้ธุดงค์วิเวกไปพำนักจำพรรษา ณ พระธาตุพนม ในปี 2443

เมื่อคณะของท่านมาพำนักจำพรรษาได้บอกให้ชาวบ้านญาติโยมทราบว่า พระธาตุพนม องค์นี้เป็นพระธาตุอันศักดิ์สิทธิ์ เพราะเป็นพระธาตุที่บรรจุอัฐิธาตุของพระพุทธเจ้า ครั้นถึงวันเพ็ญเดือน 3 ก็พาญาติโยมทำบุญ จนเป็นประเพณีสืบต่อกันมา กลายเป็นปูชนียวัตถุที่สำคัญอีสาน ปัจจุบันคือ วัดพระธาตุพนมวรมหาวิหาร อำเภอธาตุพนม จังหวัดนครพนม

ปี 2455 พระอาจารย์มั่น ออกธุดงค์เพียงลำพังองค์เดียว ได้ไปพำนักบำเพ็ญเพียรที่ถ้ำสาริกา จังหวัดนครนายก ณ ถ้ำสาริกา แห่งนี้ ท่านได้รู้ได้เห็นธรรมอันอัศจรรย์ และได้ประสบเหตุการณ์ต่างๆหลายประการ

ขณะที่พักที่ถ้ำสาริกา ท่านรู้สึกว่าโรคเจ็บท้องที่เคยเป็นประจำชักกำเริบและมีอาการรุนแรงขึ้นตามลำดับ ท่านจึงออกไปนั่งสมาธิ พิจารณาธรรม แยกธาตุขันธ์ เจริญอสุภะกรรมฐาน จนกระทั่งจิตเกิดความอัศจรรย์ สามวันสามคืน พอจิตของท่านอิ่มตัวจากการประพฤติปฏิบัติ เกิดนิมิตลูกสุนัขปรี่ดูดนมแม่สุนัข

ท่านสงสัยว่า ในการพิจารณาขั้นที่จิตรวมแล้ว ไม่น่าจะมีนิมิตแล้ว เพราะนิมิตจะเกิดจากการปฏิบัติสมาธิที่ยังไม่เป็นวสี  ท่านจึงพิจารณาอีกจนได้ความว่า ลูกสุนัขที่ดูดนมแม่ หาใช่ใครที่ไหน แต่เป็นตัวท่านเองที่เสวยอัตภาพมาตลอด 500 ชาตินั้นเอง

จึงได้เกิดความสลดสังเวชใจนำสิ่งที่ได้พบได้เห็นมาพิจารณาธรรมในข้อที่ว่า “กายะ ทุกขัง อริยสัจจัง” คือว่าพิจารณาว่ากายเป็นทุกข์ ไม่ทำให้เกิดความสุขให้เรา ต่อมาเกิดความรู้สึกกังวล จึงใช้ญาณตรวจดูก็พบว่าท่านเคยปรารถนาพุทธภูมิ (ปรารถนาจะเป็นพระพุทธเจ้า)

แล้วจึงค้นลงไปว่าปรารถนาตอนไหน พบว่าปรารถนาเมื่อสมัยพระศาสนาของพระพุทธเจ้า ซึ่งนานช้าแล้วจึงถอนความปรารถนานั้น มุ่งมั่นความพ้นทุกข์ในปัจจุบันชาติ

จากนั้นเกิดเหตุในนิมิตว่า มียักษ์ตนหนึ่งจะเข้ามาทำร้าย แต่ไม่สามารถทำร้ายท่านได้ ยักษ์ได้ยอมแพ้และได้เนรมิตกายกลับเป็นเทพบุตรกล่าวอ้างพระรัตนตรัยเป็นที่พึ่ง ในกาลเวลาต่อมา จิตท่านจึงรวม เห็นโลกทั้งโลกราบเรียบเตียนโล่งเสมอด้วยลักษณะทั้งสิ้นภายในจิต

ปี 2457 พระอุบาลีคุณูปมาจารย์ (จันทร์ สิริจนโท) ได้นิมนต์พระอาจารย์มั่นจำพรรษาในกรุงเทพฯ เพื่อให้การอบรมด้านวิปัสสนากรรมฐานให้แก่พระสงฆ์สามเณรและฆราวาส ณ วัดปทุมวนารามราชวรวิหาร กรุงเทพมหานคร

ปี 2458 พระอาจารย์มั่น กลับไปอุบลฯ และออกธุดงค์วิเวกไปพำนักตามสถานที่ต่าง ๆ ในเขตจังหวัดเลย อุดรธานี หนองคาย สกลนคร นครพนม  ซึ่งการวิเวกในครั้งนี้ได้เริ่มเทศนาอบรมธรรมปฏิบัติจิตภาวนาให้แก่พระภิกษุสามเณรและฆราวาสญาติโยมจนมีคณะศิษย์ติดตามมากมาย

ปี 2471 พระอุบาลีคุณูปมาจารย์ แต่งตั้งให้พระอาจารย์มั่น เป็นเจ้าอาวาสวัดเจดีย์หลวงวรวิหาร จังหวัดเชียงใหม่ ขณะนั้นท่านจำใจรับตำแหน่ง เพราะเห็นแก่พระอุบาลีคุณูปมาจารย์ ซึ่งกำลังอาพาธ

ต่อมาได้รับแต่งตั้งให้เป็นพระครูวินัยธรและพระอุปัชฌาย์ ซึ่งท่านได้เป็นพระอุปัชฌาย์ให้ พระอาจารย์เกตุ วณณโก เพียงรูปเดียวเท่านั้น เมื่ออยู่จำพรรษาได้เพียง 1 พรรษา ท่านก็ได้ล้มเลิกความตั้งใจที่จะเป็นเจ้าอาวาสต่อไป

โดยพิจารณาว่า “สกกาโร ปุริส หนติ ลาภสักการะฆ่าบุรุษให้ตาย เพราะมัวเมาในลาภยศ แล้วการปฏิบัติต่างๆ ก็ค่อยๆ จมลงๆ ทุกที ในที่สุดก็เกิดการฆาตกรรมตัวเอง คือเอาแต่สบาย ไม่มีการบำเพ็ญกรรมฐานให้ยิ่งขึ้น มีแต่จะหาชื่อเสียง อยากให้มีคนนับถือมากยิ่งขึ้นโดยวิธีการต่างๆ นี่คือฆาตกรรมตัวเอง”

เมื่อออกพรรษา ท่านจึงได้สละตำแหน่งเจ้าอาวาสและพระอุปัชฌาย์ แล้วหนีธุดงค์วิเวกตามป่าเขาในภาคเหนือเป็นเวลานานถึง 12 ปี อาศัยอยู่ในเขตอำเภอพร้าว เชียงดาว แม่ริม สันป่าตอง จังหวัดเชียงใหม่ และอำเภอแม่สาย เวียงป่าเป้า แม่สรวย จังหวัดเชียงราย และสงเคราะห์อดีตคู่บำเพ็ญบุญในอดีตชาติของท่านชื่อ แม่บุญปัน ที่บ้านแม่กอย ต.กลางเวียง อ.พร้าว จ.เชียงใหม่ ปัจจุบันวัดป่าแม่กอย ชื่อ วัดป่าพระอาจารย์มั่น

พระอาจารย์มั่น ได้บรรลุธรรมอันสูงสุด ณ ถ้ำดอกคำ ตำบลน้ำแพร่ อำเภอพร้าว เชียงใหม่ จากนั้นท่านได้ธุดงค์ไปยังดอยนะโม โดยพูดกับลูกศิษย์คือหลวงปู่ขาว อนาลโย ว่า “ผมหมดงานที่จะทำแล้ว ก็อยู่สานกระบุงตะกร้า พอช่วยเหลือพวกท่านและลูกศิษย์ลูกหาได้บ้างเท่านั้น”

ในกาลต่อมาท่านได้อบรมสั่งสอนลูกศิษย์ให้บรรลุธรรมสูงสุดเป็นจำนวนมาก จนได้รับขนานนามว่า พระอาจารย์ใหญ่แห่งวงศ์พระกรรมฐานวัดป่า

ปี 2482 พระธรรมเจดีย์ (จูม พนธุโล) เจ้าอาวาสวัดโพธิสมภรณ์ ได้นิมนต์ท่านให้กลับไปสั่งสอนลูกศิษย์ทางภาคอีสาน หลวงปู่มั่น จึงเดินทางไปพำนักในเขตจังหวัดสกลนคร และในช่วงปัจฉิมวัยท่านได้ไปจำพรรษา ณ วัดป่าบ้านหนองผือ ตำบลนาใน อำเภอพรรณนานิคม

เมื่อพอลงหลักปักฐานที่วัดป่าหนองผือนาในเรียบร้อยแล้ว ท่านได้ทุ่มเทสอนอุบายธรรมเพื่อการหลุดพ้นให้รู้แจ้งเห็นจริงตามอริยสัจ แก่ลูกศิษย์คณะสงฆ์และฆราวาสญาติโยม โดยไม่เห็นแก่ความเหน็ดเหนื่อย ตราบจนวาระสุดท้าย

หลวงปู่มั่น เป็นพระกรรมฐานแห่งยุค ตำนานชีวิตถูกกล่าวขานไม่รู้จบ เป็นที่ประจักษ์ ท่านสำเร็จปฏิสัมภิทานุศาสน์ 4 อย่าง คือ

อัตถปฏิสัมภิทา – แตกฉานในอรรถ

ธรรมปฏิสัมภิทา – แตกฉานในธรรม

นิรุตติปฏิสัมภิทา – แตกฉานในภาษา

ปฏิภาณปฏิสัมภิทา – แตกฉานในปฏิภาณ

ปฏิปทาที่ยึดมั่นมาตลอดชีวิต คือธุดงค์ ซึ่งธุดงควัตรข้อสำคัญที่ท่านสามารถยึดมั่นมาตลอดจนวาระสุดท้าย มี 7 ประการ คือ

ปังสุกุลิกังคธุดงค์ – ถือนุ่งห่มผ้าบังสุกุล

ปิณฑปาติกังคธุดงค์ – ถือภิกขาจารวัตร เที่ยวบิณฑบาตมาฉันเป็นนิตย์

เอกปัตติกังคธุดงค์ – ถือฉันในบาตร ใช้ภาชนะใบเดียวเป็นนิตย์

เอกาสนิกังคธุดงค์ – ถือฉันหนเดียวเป็นนิตย์

ขลุปัจฉาภัตติกังคธุดงค์ – ถือลงมือฉันแล้วไม่ยอมรับเพิ่ม

เตจีวริตังคธุดงค์ – ถือใช้ผ้าไตรจีวร 3 ผืน

อารัญญิกังคะ – ถือละเว้นการอยู่ในเสนาสนะใกล้บ้าน

มรณภาพ

หลวงปู่มั่น ละสังขารเมื่อวันที่ 11 พฤศจิกายน พ.ศ. 2492 อายุ 79 ปี 56 พรรษา ณ วัดป่าสุทธาวาส อำเภอเมืองสกลนคร จังหวัดสกลนคร ซึ่งต่อมาอัฐิของท่านได้แปรสภาพกลายเป็นพระธาตุในหลายที่ได้มีการแจกตามจังหวัดต่างๆที่ได้ส่งตัวแทนมารับ

หลังจากท่านพักอาพาธที่วัดป่าบ้านกลางโนนภู่ 11 วันแล้ว คณะศิษย์นุศิษย์ได้อาราธนา นอนในเปลพยาบาลแล้วนำท่านขึ้นรถเพื่อมาพัก ณ วัดป่าสุทธาวาส ซึ่งจากบันทึกของหลวงตาทองคำ จารุวณโณ ผู้อุปฐากองค์หลวงปู่ในช่วงอาพาธได้บันทึกเหตุการณ์ในช่วงที่องค์ท่านมรณภาพไว้ในหนังสือ “บันทึกวันวาน” ไว้ด้วยว่า

วาระนิพพาน

“… จากพรรณานิคม ถึงวัดป่าสุทธาวาส สกลนคร เกือบ 12 นาฬิกา เพราะทางหินลูกรังกลัวจะกระเทือนมาก ท่านฯ ก็หลับมาตลอด นำท่านฯ ขึ้นกุฏิ ศิษย์ผู้ใกล้ชิดก็มี ผู้เล่า ท่านวัน ท่านหล้า ผู้จัดที่นอนให้ท่านฯ ได้ผินศีรษะไปทางทิศใต้ ปกติเวลานอนท่านฯ จะผินศีรษะไปทางทิศตะวันออก

ด้วยความพะว้าพะวัง จึงพากันลืมคิดที่จะเปลี่ยนทิศทางศีรษะของท่านฯเวลาประมาณ 01.00 น. เศษ ท่านฯ รู้สึกตัวตื่นตื่นขึ้นจากหลับ แล้วพูดออกเสียงได้แต่อือๆ แล้วก็โบกมือเป็นสัญญาณ แต่ไม่มีใครทราบว่าท่านฯ ประสงค์สิ่งใด

มีสามเณรรูปหนึ่งอยู่ที่นั้น เห็นท่าอาการไม่ดี จึงให้สามเณรอีกรูปไปนิมนต์พระเถระทุกรูป มีเจ้าคุณจูม พระอาจารย์เทสก์ พระอาจารย์ฝั้น เป็นต้น มากันเต็มกุฏิ เท่าที่สังเกตดู ท่านใกล้จะละสังขารแล้ว แต่อยากจะผินศีรษะไปทางทิศตะวันออก

ท่านพลิกตัวไปได้เล็กน้อย ท่านหล้า (พระอาจารย์หล้า เขมปตโต) คงเข้าใจ เลยเอาหมอนค่อยๆ ผลักท่านไป ผู้เล่าประคองหมอนที่ท่านหนุน แต่ท่านรู้สึกเหนื่อยมาก จะเป็นการรบกวนท่านฯ ก็เลยหยุด ท่านฯ ก็เห็นจะหมดเรี่ยวแรง ขยับต่อไปไม่ได้ แล้วก็สงบนิ่ง

ยังมีลมหายใจอยู่ แต่ต้องเงี่ยหูฟัง ท่านวันได้คลำชีพจรที่เท้า ชีพจรของท่านเต้นเร็วชนิดรัวเลย รัวจนสุดขีดแล้วก็ดับไปเฉยๆ ด้วยอาการอันสงบ…”

ด้วยดวงจิตคารวะ ขอบูชาน้อมกราบ องค์อริยะสงฆ์ หลวงปู่มั่น ภูริทตโต บูรพาจารย์ผู้ให้ปัญญา