อุทิศส่วนบุญให้! “เทพมนตรี” งัดภาพเด็ดฟาดปิยบุตร ย้อนเจ็บ ใช้สิทธิฟ้องม.112 เหมือนที่ชอบอ้างเสรีภาพวิจารณ์สถาบันฯ

0

อุทิศส่วนบุญให้! “เทพมนตรี” งัดภาพเด็ดฟาดปิยบุตร ย้อนเจ็บ ใช้สิทธิฟ้องม.112 เหมือนที่ชอบอ้างเสรีภาพวิจารณ์สถาบันฯ

จากกรณีที่เมื่อวานนี้ (20 มิถุนายน 2565) นายปิยบุตร แสงกนกกุล แกนนำคณะก้าวหน้า เดินทางเข้าพบคณะพนักงานสอบสวน สถานีตำรวจนครบาลดุสิต ตามหมายเรียกผู้ต้องหา ในความผิดฐานหมิ่นประมาท ดูหมิ่น หรือแสดงความอาฆาตมาดร้ายพระมหากษัตริย์ (ป.อาญา ม.112) จากการกล่าวหาของนายเทพมนตรี ลิมปพยอม นักวิชาการอิสระ โดยมีนางอมรรัตน์ โชคปมิตต์กุล ส.ส.บัญชีรายชื่อ พรรคก้าวไกล พร้อมกองเชียร์เดินทางมามาให้กำลังใจ พร้อมชูป้ายยกเลิกมาตรา 112

โดยนายปิยบุตร ให้สัมภาษณ์ว่า ข้อความที่โดนกล่าวโทษจากนายเทพมนตรี ตนอ่านแล้วไม่มีข้อความผิดที่เข้าข่าย ม.112 คนที่มีเหตุผล สติสัมปชัญญะ สามารถวิเคราะห์ได้ว่าไม่เข้าข่ายความผิดหมิ่นประมาทสถาบัน แต่เมื่อพนักงานสอบสวนมีความเห็นแบบนี้ก็พร้อมจะสู้ต่อไป

ส่วนการที่โดนดำเนินคดีแบบนี้กระทบกับเสรีภาพหรือไม่นั้น ในปัจจุบัน ทุกฝ่ายสามารถอยู่ร่วมในสังคมอย่างสันติ ต้องมีการพูดคุยกัน ตนพยายามแสดงออกถึงความบริสุทธิ์ใจที่จะพูดถึงสถาบัน ทุกฝ่ายควรมาคุยกัน และมีพื้นที่ในการแสดงความเห็นร่วมกัน แต่ตนกับถูกกล่าวโทษ ความสำคัญเรื่องตนจะโดนคดี หรือจำคุกเป็นเรื่องเล็ก แต่ตนต้องการให้ประชาชนสามารถพูดคุยกันได้แบบสาธารณะ ความปรารถนาดีต่อสถาบันแต่กลับโดนดำเนินคดี ม.112 กฎหมายนี้ห้ามหมิ่นประมาทหรืออาฆาตมาดร้าย ยืนยันตนจะขอพูดต่อไป

ส่วนนายเทพมนตรี มาร้องเอาผิดตนนั้น ตนไม่ว่าอะไร แต่เวลาจะร้องหรือแจ้งความเอาผิด ควรศึกษากฎหมายบ้าง อย่าจินตนาการและรู้สึกไปเอง อย่าแจ้งความเพื่อปิดปากผู้อื่น ควรใช้ความคิดและสมองมากกว่านี้ สังคมไทยต้องมีพื้นที่ปลอดภัยในการพูดคุยเรื่องสถาบัน

นายปิยบุตร ยังกล่าวอีกว่า ตนมีเสรีภาพในการแสดงความคิดเห็น ตนหวังดี และข้อเสนอของผมตลอด 10 ปีในฐานะนักวิชาการมีความชัดเจนมาโดยตลอด แต่พอมาอยู่การเมือง เอาประเด็นพวกนี้มาทำลายตน ทั้งที่พรรคอนาคตใหม่ก็ถูกยุบไปแล้ว ดังนั้นความคิดเห็นของตนที่แสดงออกแบบบริสุทธ์ใจ เป็นประโยชน์ต่อสังคม

ส่วนการบรรยายปี 59 ประเด็นในหลวง ร.9 ดำรัสเกี่ยวกับตุลาการนั้น เวลาตนถูกกล่าวหาก็มักจะโดนขุด หลักใหญ่คือ คำพูดตนหมิ่นประมาทจริงหรือไม่ เอาข้อความมาอ้าง อย่าใช้วิธีใส่ร้ายป้ายสี มีหลายครั้งที่สำนักข่าวท็อปนิวส์ เข้าข่ายหมิ่นประมาทชัดเจน แต่ตนไม่ฟ้องดำเนินคดีกับท็อปนิวส์หรือนักข่าว คนจะรักต้องพูดคุยกัน ไม่ใช่เอากฎหมายมาปิดปาก แต่สิ่งที่นายเทพมนตรีกล่าวหา และสำนักข่าวท็อปนิวส์นำมาขยายหลายอย่างถือเป็นการหมิ่นประมาทตนเอง ประชาชนจะตัดสินใจเอง ขอให้ทำตัวเป็นสื่อมวลชนมากขึ้น

ส่วนการที่รองผู้บัญชาการตำรวจนครบาล ได้วางเงื่อนไขให้มารายงานตัวทุก 7 วันนั้น ตนเข้าใจดีว่าพนักงานสอบสวนโดนจับตา แต่ตนต้องเดินทางไปหาภรรยาที่ประเทศฝรั่งเศส แต่เพื่อความสบายใจ ตนจะออกนอกประเทศอย่างไรไม่ให้ ตำรวจโดนตำหนิ และไม่มีผลทางกฎหมาย ถ้าจะออกนอกประเทศ ต้องขอศึกษาในเรื่องกฎหมายเพิ่มเติม

ล่าสุดทางด้านของ นายเทพมนตรี ได้ดพสต์ข้อความถึงนายปิยบุตร โดยบอกว่า เมื่อวานนี้ อ.ปิยบุตรได้ต่อว่าผมออกสื่อใหญ่โต อาการมันออกอ่ะ ผมไม่ถือสาอะไร ไม่ต้องอธิบายอะไรกับผม เพราะที่ผมไปแจ้งความกล่าวโทษร้องทุกข์ไม่เคยมีเรื่องส่วนตัว แต่เป็นเรื่องที่ผมปฏิบัติตามรัฐธรรมนูญมันเป็นหน้าที่ในฐานะที่เป็นคนไทย เมื่อรัฐธรรมนูญเขียนให้ผมมีสิทธิเสรีภาพ ผมก็ใช้เหมือนที่ อ.ปิยบุตรอ้างเสรีภาพทางวิขาการ วิพากษ์วิจารณ์สถาบันต่างกรรมต่างวาระนั่นแหละ

ผมเห็นว่าเกินขอบเขตไป และอ.ปิยบุตรทำมาตลอดทั้งรัชกาลพระเจ้าอยู่หัวองค์ที่แล้วและรัชกาลของพระเจ้าอยู่หัวองค์ปัจจุบันนี้ มีเรื่องที่ อ.ปิยบุตรอาจไม่ทราบ เพื่อเป็นการอุทิศส่วนบุญกุศลก็อยากจะแจ้งให้รับรู้ไว้
ความจริงแล้ว อ.สมศักดิ์ และอ.ปวิน มันควรเป็นรายแรกและรายที่สอง บังเอิญมันอยู่ต่างประเทศต้องใช้เวลาอีกนิด มิฉะนั้นแล้ว อ.ปิยบุตรคงไม่ใช่คิวแรกอย่างที่เห็น อาจเป็นคิวที่สามก็เป็นได้ ผมไม่ใช่นักร้อง อันที่จริงใครก็ได้ที่สามารถร้องทุกข์กล่าวโทษแต่พวกเขาอาจไม่มีเวลาว่าง จึงไม่ทำ
อีกเรื่องหนึ่งที่อ.ปิยบุตรอาจไม่ทราบ เรื่องของภาพที่ไปถ่ายตามที่ต่างๆของอาจารย์นั้น มันไม่เกี่ยวกับการกดชัตเตอร์เพียงอย่างเดียว มันเกี่ยวกับความคิดและสิ่งที่อ.ปิยบุตรไปพูด หรือไปเขียนข้อความลงในสื่อต่างๆ ซึ่งสอดรับเป็นไปในแนวทางเดียวกันกับคนเหล่านั้น บางครั้งก็ไปสนับสนุนการกระทำที่ว่านั้นเสียด้วยซ้ำ
ผมเป็นนักประวัติศาสตร์ (เป็นลูกศิษย์อาจารย์ชาญวิทย์ที่เขาเคยรักมาก) จึงยึดถือหลักฐานชั้นต้น พฤติกรรมของอาจารย์ ผมจึงไม่ใช่นักร้องอะไรนั่น ขอฝากคำทักทายไปถึงพี่จรัล ด้วย เสียดายไปเป็นพลเมืองฝรั่งเศสแล้ว