ความจริงวันนี้ ความเป็นธรรมบิลลี่ อดีตที่ถูกบิดเบือน!?!ชัยวัฒน์โผล่มอบตัวยันไม่หนี

0

หลังเฝ้าติดตามกันมาถึงเวลา5ปี ในที่สุดก็รู้ว่า บิลลี่แห่งบ้านบางกลอยมีชะตาชีวิตเช่นไร เมื่อดีเอสไอแถลงการหายตัวไปนับแต่ 17 เม.ย.2557 โดยพบกระดูกปริศนา??? ทำให้เชื่อว่าถูกฆาตกรรม และแน่นอนที่สุดย่อมโฟกัสไปถึงคนลงมือ ล่าสุดออกหมายจับตัวบิ๊ก ซึ่งสร้างความสั่นสะเทือนต่อสังคมพร้อมความจริงที่จะถูกเปิดเผยออกมา!?!

วันนี้เราจะพาย้อนรอยเรื่องราวนี้ พร้อมลำดับให้ดูกันว่า แท้แล้วงานนี้คดีถูกสะสางด้วยฝีมือใคร??? และความเป็นธรรมจากอดีตที่จะถูกคลี่คลายออกมา

3 ก.ย.2562 พ.ต.อ.ไพสิฐ วงศ์เมือง อธิบดีกรมสอบสวนคดีพิเศษ แถลงตามที่คณะกรรมการคดีพิเศษ (กคพ.) ได้มีมติในการประชุมครั้งที่ 1/2561 เมื่อวันที่ 28 มิถุนายน 2561 ให้การกระทำความผิดทางอาญาอื่นกรณีการหายตัวไปของนายพอละจี เป็นคดีพิเศษที่ต้องสืบสวนและสอบสวนตามพ.ร.บ.การสอบสวนคดีพิเศษ พ.ศ. 2547

พฤติการณ์คือ นายพอละจี หรือบิลลี่ ได้ถูกเจ้าหน้าที่อุทยานแห่งชาติแก่งกระจานจับกุมในระหว่างนำน้ำผึ้งออกจากพื้นที่อุทยานแห่งชาติแก่งกระจาน โดยไม่ได้รับอนุญาต เมื่อวันที่ 17 เม.ย.57

โดยเจ้าหน้าที่ผู้ควบคุมตัวอ้างว่าได้ปล่อยตัว นายพอละจี พร้อมรถจักรยานยนต์และนำผึ้งของกลางไปโดยไม่ได้ดำเนินคดี แต่น.ส.พิณนภา พฤกษาพรรณ ภรรยาของนายพอละจี และญาติ เชื่อว่า นายพอละจี หายสาบสูญไปโดยถูกบังคับ
ภายหลังการรับไว้ในกรณีดังกล่าว ดีเอสไอได้ดำเนินการสืบสวนสอบสวน แต่งตั้งพนักงานอัยการจากสำนักงานอัยการสูงสุด เป็นที่ปรึกษาคดีพิเศษและตัวแทนจากองค์การนอกภาครัฐ ร่วมกันสืบสวนสอบสวนต่อเนื่องมาโดยตลอด

26 เม.ย.2562 และ 22-24 พ.ค.62 พนักงานสอบสวนคดีพิเศษ ใช้เครื่องยานยนต์สำรวจใต้น้ำจากคณะวิศวกรรมศาสตร์ มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีพระจอมเกล้าพระนครเหนือ และนักประดาน้ำ ตรวจหาพยานหลักฐานที่พื้นที่ใต้น้ำบริเวณสะพานแขวน เขื่อนแก่งกระจานสามารถตรวจพบชิ้นส่วนกระดูก 2 ชิ้น ถังน้ำมันขนาด 200 ลิตร 1 ถัง เหล็กเส้น 2 เส้น ถ่านไม้ 4 ชิ้น และเศษฝาถังน้ำมัน

จากนั้นส่งให้สถาบันนิติวิทยาศาสตร์ทำการตรวจพิสูจน์พบว่า “วัตถุเป็นชิ้นส่วนกระดูกกะโหลกศีรษะข้างซ้ายของมนุษย์ มีรอยไหม้สีน้ำตาล ร่วมกับรอยแตกร้าว และการหดตัวของกระดูกจากการถูกความร้อนที่อุณหภูมิประมาณ 200-300 องศาเซลเซียส ตรวจพบสารพันธุกรรมตรงกับนางโพเราะจี รักจงเจริญ มารดาของนายพอละจี

เมื่อพิจารณาจากสถานที่เกิดเหตุ พยานหลักฐานในสำนวนอื่นประกอบ พนักงานสอบสวนคดีพิเศษจึงเชื่อว่า วัตถุดังกล่าวเป็นกระดูกของ นายพอละจี รักจงเจริญ ที่เสียชีวิตแล้วโดยไม่ทราบวิธีที่ทำให้ตาย แต่นำมาเผาทำลายเพื่ออำพรางคดี

28 – 30 ส.ค.2562 พนักงานสอบสวนคดีพิเศษ ตรวจหาพยานหลักฐานที่พื้นที่ใต้น้ำบริเวณสะพานแขวน เขื่อนแก่งกระจาน ตรวจหาพยานหลักฐาน พบชิ้นส่วนกระดูกเพิ่มเติมอีกจำนวน 20 ชิ้น

กรมสอบสวนคดีพิเศษ เห็นว่า พฤติการณ์ของกลุ่มคนร้ายเป็นการฆาตกรรมโดยทรมานและการบังคับบุคคลให้สูญหายที่เป็นการละเมิดสิทธิมนุษยชนอย่างร้ายแรงตามอนุสัญญาระหว่างประเทศว่าด้วยการคุ้มครองบุคคลทุกคนจากการหายสาบสูญโดยถูกบังคับ

วันนี้ความจริงบางส่วนปรากฏขึ้นแล้วว่าการหายตัวไปของบิลลี่เกิดขึ้นในช่วงรัฐบาลไหน ลองย้อนไปดูช่วงวันเวลาเกิดเหตุอีกครั้งดังนี้

17 เม.ย.2557 บิลลี่ ได้หายตัวไปที่ด่านมะเร็ว อุทยานแห่งชาติแก่งกระจาน ต.ห้วยแม่เพรียง อ.แก่งกระจาน จ.เพชรบุรี หลังมีข่าวว่าบิลลี่ถูกเจ้าหน้าที่อุทยานฯ แก่งกระจาน ควบคุมตัวไว้

18 เม.ย.2557 คนในครอบครัวยืนยันว่า บิลลี่ยังไม่ได้กลับบ้านจนถึงเวลา 08.00 น.จากนั้นชาวบ้านได้ออกค้นหาจนถึงเวลา 20.00 น. ผู้ใหญ่บ้านบางกลอยเข้าแจ้งความคนหาย ที่สถานีตำรวจภูธรแก่งกระจาน

ต่อมาพนักงานสอบสวนตรวจสอบพบว่า นายชัยวัฒน์ ลิ้มลิขิตอักษร อดีตหัวหน้าอุทยานแห่งชาติแก่งกระจาน และเจ้าหน้าที่อุทยานฯ นำตัวบิลลี่ไป โดยยอมรับว่าควบคุมตัวบิลลี่ไว้จริง โดยให้เหตุผลว่าบิลลี่มีน้ำผึ้งป่าไว้ในครอบครอง จึงเรียกไปตักเตือน แต่ได้ปล่อยตัวไปแล้ว

21 เม.ย.2557 น.ส.พิณนภา พฤกษาพรรณ หรือ มึนอ ภรรยาของบิลลี่ เข้ายื่นหนังสือร้องเรียนกับผู้ว่าราชการจังหวัด และผู้บังคับการตำรวจภูธรจังหวัดเพชรบุรี ซึ่งนายชัยวัฒน์ ผู้ถูกกล่าวหาว่ากักขังหน่วงเหนียวบิลลี่ ยอมรับว่ามีการควบคุมตัวบิลลี่จริง แต่ได้ปล่อยตัวไปแล้ว โดยมีน้องสาวบิลลี่เห็นบิลลี่ภายหลังปล่อยตัว

24 เม.ย.2557 ภรรยาของบิลลี่ พร้อมทนายยื่นคำร้องต่อศาลจังหวัดเพชรบุรี ขอให้ศาลไต่สวนฉุกเฉิน ตาม ป.วิอาญามาตรา 90 โดยถูกควบคุมตัวโดยมิชอบด้วยกฎหมาย เนื่องจากเชื่อว่าบิลลี่ยังคงถูกควบคุมตัวโดยเจ้าหน้าที่อุทยานฯ แก่งกระจาน และหวังว่าศาลจะช่วยให้ทราบได้ว่าบิลลี่อยู่ที่ใด และหากยังคุมตัวไว้โดยที่ไม่มีอำนาจควบคุม ก็ขอให้ปล่อยตัวบิลลี่ออกมา

2 ก.ย.2557 ศาลฏีกายกคำร้องในคดีอดีตหัวหน้าหน้าอุทยานฯ แก่งกระจานที่ถูกกล่าวหา ตาม ป.วิอาญามาตรา 90 ควบคุมตัวบิลลี่โดยมิชอบด้วยกฎหมาย โดยให้เหตุผลว่าหลักฐานไม่เพียงพอ

16 ม.ค.2560 ดีเอสไอ แจ้งภรรยาของบิลลี่ว่า คณะกรรมการคดีพิเศษมีมติไม่รับกรณีการหายตัวไปของบิลลี่เป็นคดีพิเศษ โดยมติดังกล่าวเป็นมติที่ประชุมวันที่ 10 มิ.ย.2559 โดยอ้างถึงเหตุผล 3 ประการ ได้แก่

การสืบสวนยังไม่สามารถหาข้อสรุปได้ อีกทั้งยังให้เหตุผลว่าภรรยาของบิลลี่ไม่มีสิทธิในการยื่นเรื่องร้องเรียน เนื่องจากไม่ได้มีการจดทะเบียนสมรสตามกฎหมาย การสอบสวนของดีเอสไออาจจะกระทำได้หากมีการพบเจอร่างของบิลลี่เท่านั้น

28 มิ.ย.2561 ดีเอสไอได้รับคดีการหายตัวไปของบิลลี่เป็นคดีพิเศษ และเริ่มสอบสวนเมื่อปลายเดือน มิ.ย.2561 ต่อเนื่องพ.ค.2562 ดีเอสไอ ลงพื้นที่อุทยานฯ แก่งกระจาน พบหลักฐานชิ้นส่วนกระดูกมนุษย์ เหล็กเส้น และถังน้ำมัน 200 ลิตร ใกล้สะพานแขวน ซึ่งเป็นจุดท่องเที่ยวชื่อดังในเขตอุทยานฯ แก่งกระจาน

27 ส.ค.2562 ภรรยาของบิลลี่ยื่นคำร้องต่อศาลจังหวัดเพชรบุรี ขอให้ศาลสั่งให้บิลลี่เป็นบุคคลสาบสูญ หลังจากหายตัวไป 5 ปี โดยมีพยานหลักฐานน่าเชื่อถือได้ว่าบิลลี่ถูกบังคับให้หายสาบสูญโดยเจ้าหน้าที่รัฐ ศาลกำหนดนัดไต่สวนวันที่ 28 ต.ค. จนกระทั่ง 3 ก.ย.2562 ดีเอสไอ แถลงพบหลักฐานสำคัญชิ้นส่วนกระดูกมนุษย์และกะโหลกที่อยู่ภายในถังน้ำมัน ยืนยันว่าผลดีเอ็นเอตรงกับ บิลลี่

กระนั้นก็มีคำถาม ข้อสงสัยว่าเหตุใดบิลลี่ จึงถูกอุ้มลักพาตัวไป นั่นเพราะเขากำลังจะดำเนินการฟ้องเจ้าหน้าที่ที่ได้บุกไล่รื้อถอนที่พักพร้อมทำการเผา โดยรายละเอียดเรื่องนี้ เราจะมาดูกันที่คำสั่งศาล เมื่อวันที่12มิ.ย. 2561 ที่ผ่านมาศาลปกครองกลางได้อ่านคำพิพากษาของ ศาลปกครองสูงสุด ในคดีหมายเลขดำที่ อส.77/2559 หมายเลขแดงที่ อส.4/2561

ซึ่งนายโคอิ หรือคออี้ มีมิ กับพวกรวม 6 คน ยื่นฟ้องกรมอุทยานแห่งชาติ สัตว์ป่า และพันธุ์พืช กับพวกรวม 2 คน ขอให้ชดใช้ค่าเสียหาย จากกรณีพนักงานเจ้าหน้าที่ของผู้ถูกฟ้องคดีที่ 1 รื้อถอนเผาทำลายสิ่งปลูกสร้างและทรัพย์สินของผู้ฟ้องคดีทั้งหกที่อยู่ในเขตอุทยานแห่งชาติแก่งกระจาน

ศาลปกครองสูงสุดวินิจฉัยการใช้อำนาจตามมาตรา 22 แห่งพระราชบัญญัติอุทยานแห่งชาติ พ.ศ. 2504 ของพนักงานเจ้าหน้าที่ของผู้ถูกฟ้องคดีที่ 1 ในการรื้อถอนเผาทำลาย สิ่งปลูกสร้างและทรัพย์สินของผู้ฟ้องคดีทั้งหก แม้จะเป็นมาตรการหรือวิธีการที่มีผลทำให้การป้องกันและปราบปรามการบุกรุกยึดถือครอบครองที่ดินในเขตอุทยานแห่งชาติ

ตลอดจนการอื่นที่เป็นความผิดต่อกฎหมายว่าด้วยอุทยานแห่งชาติบรรลุผลตามวัตถุประสงค์หรือเจตนารมณ์ของกฎหมายก็ตาม แต่บทบัญญัติดังกล่าวมิได้ให้อำนาจดุลพินิจแก่พนักงานเจ้าหน้าที่ในอันที่จะเลือกใช้มาตรการบังคับ ทางปกครองอย่างใดก็ได้ตามอำเภอใจหรือโดยพลการ

โดยเฉพาะการรื้อถอนเผาทำลายทรัพย์สินและสิ่งปลูกสร้างที่ใช้อยู่อาศัย ย่อมมีผลกระทบกระเทือนต่อสิทธิในทรัพย์สินหรือสิทธิอื่นใดของผู้ฟ้องคดีทั้งหกอย่างรุนแรง และก่อให้เกิดความเสียหายแก่ผู้ฟ้องคดีทั้งหกเกินสมควรเมื่อเปรียบเทียบกับการรักษาไว้ซึ่งประโยชน์สาธารณะ

การกระทำของพนักงานเจ้าหน้าที่ของผู้ถูกฟ้องคดีที่ 1 ดังกล่าว จึงไม่ชอบด้วยกฎหมายและ ทำให้เกิดความเสียหายแก่ผู้ฟ้องคดีทั้งหกอันเป็นการกระทำละเมิด ซึ่งผู้ถูกฟ้องคดีที่ 1 ต้องรับผิดในผล แห่งละเมิดตามมาตรา 5 แห่งพระราชบัญญัติความรับผิดทางละเมิดของเจ้าหน้าที่ พ.ศ. 2539

สำหรับการกำหนดค่าสินไหมทดแทนให้แก่ผู้ฟ้องคดีทั้งหก นั้น เห็นว่า โดยที่สิทธิขั้นพื้นฐานของบุคคลย่อมมีสิทธิในการดำรงชีวิตและสิทธิในทรัพย์สิน ไม่มีบุคคลใดที่จะสามารถมีชีวิตอยู่ได้หากปราศจากเครื่องอาศัยยังชีพ อาหาร เครื่องนุ่งห่ม ที่อยู่อาศัย และยารักษาโรค อันเป็นปัจจัยสำคัญในการดำรงชีวิต

อีกทั้งบุคคลไม่อาจถูกจำกัดแค่การมีชีวิตอยู่เยี่ยงสิ่งมีชีวิตหนึ่งๆ เท่านั้น แต่ต้องดำรงชีวิตอยู่ได้อย่างปกติสุขและมีศักดิ์ศรีในความเป็นมนุษย์ด้วย หากสิทธิดังกล่าวถูกลิดรอนโดยไม่ชอบด้วยกฎหมายทำให้เกิดความเสียหาย บุคคลนั้นย่อมต้องได้รับการเยียวยาแก้ไขความเสียหาย

เมื่อพิจารณาถึงพฤติการณ์และความร้ายแรงแห่งละเมิดในคดีนี้ ประกอบข้อเท็จจริงปรากฏว่า พนักงานเจ้าหน้าที่ของผู้ถูกฟ้องคดีที่ 1 สามารถใช้ดุลพินิจไม่ใช้มาตรการที่มีความรุนแรงกระทำต่อสิ่งปลูกสร้างและทรัพย์สินของผู้ฟ้องคดีทั้งหกได้แม้จะมีกฎหมายให้อำนาจไว้ก็ตาม

การเผาทำลายสิ่งปลูกสร้างและทรัพย์สินจึงทำให้ผู้ฟ้องคดีทั้งหกต้องสูญเสียปัจจัยสำคัญในการดำรงชีวิต ถือเป็นพฤติการณ์ที่มีความร้ายแรงกระทบกระเทือนสาระสำคัญแห่งสิทธิในการดำรงชีวิตและสิทธิในทรัพย์สินโดยไม่ชอบด้วยกฎหมาย ศาลปกครองสูงสุดจึงกำหนดค่าสินไหมทดแทนให้แก่ผู้ฟ้องคดีทั้งหก

ขณะที่นายชัยวัฒน์ออกมาชี้แจงหลังดีเอสไอแถลง โดยหยิบเอาผลคดี ที่ศาลชั้นต้นไต่สวนแล้ว มีคำสั่งยกคำร้อง เมียบิลลี่ ศาลอุทธรณ์ภาค 7 พิพากษายืน ผู้ร้องฏีกา ศาลฎีกาพิพากษายืน ถือว่า คดีถึงที่สุด

เครือข่ายกะเหรี่ยงและชาวเล เรียกร้องให้รัฐบาลและหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เร่งรัดดำเนินการสืบสวน สอบสวนและจับกุมผู้กระทำผิดรวมถึงผู้ที่มีส่วนทั้งหมดมาดำเนินคดีโดยเร่งด่วน

นั่นคือเรื่องราว ประมวลเหตุการณ์นับแต่บิลลี่หายตัวไป กระทั่งพบชิ้นส่วนกระดูกที่ได้รับการตรวจพิสูจน์แล้ว ซึ่ง จุดเริ่มต้นของเรื่องนี้เกิดขึ้นในสมัยรัฐบาลนางสาวยิ่งลักษณ์ ชินวัตร และท้ายที่สุดความจริงก็มาปรากฏในรัฐบาลบิ๊กตู่ ที่ใครๆก็ว่าไม่เป็นประชาธิปไตย???

11 พ.ย. 2562 ช่วงเช้า พ.ต.อ.ไพสิฐ เรียกประชุมหารือชุดพนักงานสอบสวน คดีฆาตกรรมนายพอละจี รักจงเจริญ หรือ บิลลี่ แกนนำกะเหรี่ยงบ้านโป่งลึก-บางกลอย อ.แก่งกระจาน จ.เพชรบุรี และมีมติมอบมอบหมายพนักงานสอบสวน เดินทางไปศาลอาญา เพื่อขออนุมัติหมายจับ นายชัยวัฒน์ ลิ้มลิขิตอักษร อดีตหัวหน้าอุทยานแห่งชาติแก่งกระจาน กับพวกรวม 4 ราย

11 พ.ย.2562 ช่วงบ่ายวันเดียวกัน ศาลอาญาคดีทุจริตและประพฤติมิชอบกลาง อนุมัติหมายจับ นายชัยวัฒน์ ลิ้มลิขิตอักษร ผู้ต้องหาที่ 1, นายบุญแทน บุษราคำ ผู้ต้องหาที่ 2 และ นายธนเสฏฐ์ หรือนายไพฑูรย์ แช่มเทศ ผู้ต้องหาที่ 3 ตามที่พนักงานสอบสวนคดีพิเศษ (ดีเอสไอ) ร้องขอ โดยมีข้อหาดังนี้

ร่วมกันฆ่าผู้อื่นโดยไตร่ตรองไว้ก่อน เพื่อปกปิดความผิดอื่นของตน หรือเพื่อหลีกเสี่ยงให้พ้นอาญาในความผิดอื่นที่ตนได้กระทำไว้, ร่วมกันหน่วงเหนี่ยว หรือกักขังผู้อื่น หรือกระทำด้วยประการใดให้ผู้อื่นปราศจากเสรีภาพในร่างกาย เป็นเหตุให้ผู้ถูกหน่วงเหนี่ยวถูกกักขังหรือต้องปราศจากเสรีภาพในร่างกายนั้นถึงแก่ความตาย, ร่วมกันมีอาวุธข่มขืนใจผู้อื่นให้ยอมให้หรือยอมจะให้ตนหรือผู้อื่นได้ประโยชน์ในลักษณะที่เป็นทรัพย์สิน

โดยใช้กำลังประทุษร้ายหรือโดยขู่เข็ญว่าจะทำอันตรายต่อชีวิต ร่างกาย เสรีภาพ ชื่อเสียง หรือทรัพย์สินของผู้ถูกขู่เข็ญหรือของบุคคลที่สาม จนผู้ถูกข่มขืนใจยอมเช่นว่านั้น, ร่วมกันปลันทรัพย์โดยมีอาวุธปืน โดยใช้ยานพาหนะเพื่อกระทำผิดติดตัวไปด้วยเป็นเหตุให้ผู้อื่นถึงแก่ความตาย

ร่วมกันโดยทุจริตหรือเพื่ออำพรางคดีกระทำการใดๆ แก่ศพหรือสภาพแวดล้อมในบริเวณที่พบหพก่อนการชันสูตรพลิกศพเสร็จสิ้น ในประการที่น่าจะทำให้การขันสูตรพลิกศพหรือผลทางคดีเปลี่ยนแปลงไป ตามประมวลกฏหมายอาญา มาตรา 83, 289 (4)(7), 309, 310, 33, 340, 340 ตรี ประกอบประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 50 ทวิ

และร่วมกันเป็นเจ้าพนักงานมีหน้าที่จัดการหรือรักษาทรัพย์ใดเบียดบังทรัพย์นั้นเป็นของตน หรือเป็นของผู้อื่นโดยทุจริต, ร่วมกันเป็นเจ้าพนักงานใช้อำนาจในตำแหน่งโดยมิชอบ ข่มขืนใจเพื่อให้บุคคลใดมอบให้หรือหามาให้ซึ่งทรัพย์สินหรือประโยชน์อื่นใดแก่ตนเองหรือผู้อื่น,

ร่วมกันเป็นเจ้าพนักงาน เจ้าหน้าที่ของรัฐปฏิบัติหรือละเว้นการปฏิบัติอย่างใดในตำแหน่งหรือหน้าที่ หรือใช้อำนาจในตำแหน่งหรือหน้าที่โดยมิชอบ เพื่อให้เกิดความเสียหายแก่ผู้หนึ่งผู้ใด หรือปฏิบัติหรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยทุจริต ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 83, 147, 148 พ.ร.บ.ประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริต พ.ศ. 2542 มาตรา 123/1 และพ.ร.บ.ประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริต พ.ศ. 2542 มาตรา 172

11 พ.ย. 2562 ในวันเดียวกันนี้ นายชัยวัฒน์ ยังมีสีหน้าที่ยิ้มแย้ม พร้อมยืนยัน ไม่ได้หนีไปไหนตามที่มีกระแสข่าว เพราะตนก็มีที่ทำงานเป็นหลักแหล่ง ที่จริงใช้การออกหมายเรียกก็ได้แล้ว แต่เมื่อออกหมายจับแล้ว ตนก็ยินดีจะไปให้ความร่วมมือ

ทั้งนี้ นายชัยวัฒน์ ยังกล่าวว่า เป็นเจ้าหน้าที่ของรัฐ ก็ต้องทำตามกระบวนการยุติธรรม เช่นเดียวกับการที่เอาคนอื่นเข้ากระบวนการยุติธรรม ก็จะได้รู้ว่าใครผิดหรือใครถูกในเรื่องคดีทรัพยากรธรรมชาติ ตนยืนยันว่าทุกอย่างทำไปตามกระบวนการและขั้นตอนของกฎหมาย

12 พ.ย.2562 นายชัยวัฒน์ พร้อมพวกรวม 4 คน เข้ามอบตัวเพื่อรับทราบข้อกล่าวหาต่อพนักงานสอบสวน DSI ในคดีฆาตรกรรมอำพรางบิลลี่ โดยนายชัยวัฒน์ บอกด้วยว่าติดตามการทำงานของดีเอสไอมาตลอด รู้แล้วว่าเป้าหมายอยู่ที่ตัวเองกับลูกน้องอีก 3 คน

“มีการสร้างเรื่อง จนทำให้ตัวเอง ครอบครัว และลูกน้องไม่มีที่ยืนในสังคม จนวันนี้คนไม่รู้อะไรผิดอะไรถูก ทั้งชีวิตทำหน้าที่พิทักษ์รักษาป่า ทุ่มเททั้งชีวิตเพื่อแผ่นดิน แต่กระแสข่าวที่ออกมาทำให้ตัวเองเป็นจำเลยของสังคม

การออกหมายจับครั้งนี้เกิดขึ้นโดยศาลอาญาทุจริตฯ นั่นหมายความว่าตัวเองถูกกล่าวหาว่าทุจริต ไม่ได้ชี้ว่าตัวเองไปฆ่าใคร แต่มูลเหตุ 6 ข้อที่ดีเอสไอแถลง มาบ่งชี้ว่าตัวเองทำร้ายร่างกาย ทำให้เสียชีวิต หลังจากนี้ให้ทุกคนติดตาม เรื่องพยานหลักฐานทั้งถังน้ำมัน กะโหลก สู้เพื่อแผ่นดิน และไม่คิดจะหลบหนีไปไหน” นายชัยวัฒน์ กล่าว

12 พ.ย.62 ในช่วงเย็น ศาลอาญาคดีทุจริตฯ กลาง มีคำสั่งเรื่องการปล่อยชั่วคราว นายชัยวัฒน์ ลิ้มลิขิตอักษร นายบุญแทน บุษราคำ, นายธนเสฏฐ์ หรือไพฑูรย์ แช่มเทศ และนายกฤษณพงษ์ จิตต์เทศ 4 ผู้ต้องหา คดีร่วมกันกักขังหน่วงเหนี่ยวฆ่าและอำพรางการเสียชีวิตของบิลลี่ โดยตีราคาประกันคนละ 800,000 บาท

นั่นคือสถานการณ์ที่เกิดขึ้นล่าสุดกับคดีดังกล่าว ซึ่งจะไม่ว่าอย่างไร ใครจะผิดหรือถูก ทั้งหมดจะขึ้นอยู่กับพยานหลักฐานในกระบวนการยุติธรรม หากแต่สิ่งที่ปรากฏชัดแล้ว วันนี้ความจริงเรื่องบิลลี่ได้ถูกเปิดเผยขึ้น และหวังว่าเขาและครอบครัวจะได้รับความยุติธรรมจากอดีตถูกบิดเบือนไป???