จากสถานการณ์ที่รัสเซียโดนบรรดาสมาชิกประเทศยุโรปคว่ำบาตร ทำให้ทางผู้นำอย่างประธานาธิบดีปูติน ต้องใช้มาตรการตอบโต้ ซึ่งส่งผลต่อภาวะเศรษฐกิจการขาดแคลนพลังงาน และอาหารนหลายประเทศ รวมทั้งการสั่งปิดสถานทูตด้วย
ล่าสุดวันนี้ 08 มิถุนายน 2565 เพจThailand Vision ได้เผยแพร่ข้อมูลที่สำคัญผ่านแหล่งข่าวที่น่าเชื่อถือ โดยเนื้อหาได้ถูกเผยแพร่ทางเฟซบุ๊กว่า
“สื่อต่างประเทศรายงานในวันนี้ว่า จอห์น เจ. ซัลลิแวน เอกอัครราชทูตสหรัฐฯ ประจำกรุงมอสโก เรียกร้องรัฐบาลรัสเซีย ว่า อย่าได้สั่งปิดสถานทูตสหรัฐฯ เป็นอันขาด แม้วิกฤตการณ์ในยูเครนจะทำให้ความสัมพันธ์ย่ำแย่แค่ไหนก็ตาม พร้อมย้ำว่า อย่างไรเสีย 2 ชาติมหาอำนาจนิวเคลียร์รายใหญ่ที่สุดของโลกยังจำเป็นต้องพูดคุยกัน
ขณะที่ ประธานาธิบดี วลาดิมีร์ ปูติน เอ่ยถึงการส่งทหารรุกรานยูเครนว่า เป็นจุดเปลี่ยนในประวัติศาสตร์รัสเซีย และเป็นการปฏิวัติต่อต้านการครองความเป็นใหญ่ (hegemony) ของสหรัฐอเมริกา ซึ่งผู้นำเครมลินบอกว่า ใช้อิทธิพลข่มเหงรัสเซียมาตลอดตั้งแต่สหภาพโซเวียตล่มสลายเมื่อปี 1991
ฝ่ายยูเครน และบรรดารัฐตะวันตกที่ให้การสนับสนุนอ้างว่า นี่คือการต่อสู้เพื่อให้ยูเครนรอดพ้นจากแผนยึดดินแดนเยี่ยงนักล่าอาณานิคมซึ่งได้คร่าชีวิตผู้บริสุทธิ์ไปแล้วนับพันคน ทำให้ชาวยูเครนอีกกว่า 10 ล้านต้องพลัดถิ่นฐาน และทำให้เมืองต่างๆ ของยูเครนกลายสภาพเป็นที่ดินรกร้าง (wasteland)
ซัลลิแวน ซึ่งเป็นเอกอัครราชทูตที่ได้รับการแต่งตั้งโดยอดีตประธานาธิบดี โดนัลด์ ทรัมป์ ให้สัมภาษณ์กับสำนักข่าว TASS ว่า วอชิงตัน และมอสโกไม่ควรจะตัดสัมพันธ์ทางการทูตกันง่ายๆ “เราจะต้องคงไว้ซึ่งความสามารถในการพูดคุยกันเสมอ” เขากล่าว
ทูตอเมริกันผู้นี้ ยังฝากเตือนไปยังชาติตะวันตกว่า ไม่ควรที่จะถอดหนังสือของ เลโอ ตอลสตอย (Leo Tolstoy) นักเขียนชาวรัสเซียออกจากชั้นวาง และไม่จำเป็นที่จะต้องปฏิเสธการบรรเลงเพลงของ “ปิออตร์ ไชคอฟสกี” (Pyotr Tchaikovsky) ด้วย
สหรัฐฯ สถาปนาความสัมพันธ์ทางการทูตกับสหภาพโซเวียตในปี 1933 และแม้จะผ่านวิกฤตการณ์ และการเผชิญหน้าอย่างล่อแหลมมาแล้วหลายครั้งในยุคสงครามเย็น ทว่าวอชิงตัน และมอสโกก็ไม่เคยตัดความสัมพันธ์กันโดยสิ้นเชิง
อย่างไรก็ดี รัสเซียประกาศแล้วว่า การ “เล่นเอาเถิดเจ้าล่อ” กับตะวันตกในยุคหลังสหภาพโซเวียตได้จบสิ้นลงแล้ว และหลังจากนี้มอสโกจะหันไปขยายความร่วมมือกับมิตรประเทศในซีกโลกตะวันออก
เมื่อเดือนที่แล้ว แอนโทนี บลิงเคน รัฐมนตรีต่างประเทศสหรัฐฯ ก็ออกมาแขวะมอสโกด้วยการบอกว่า ขออุทิศเพลง ‘We Are Never Ever Getting Back Together’ ของศิลปินสาวชื่อดัง เทย์เลอร์ สวิฟต์ ให้แก่ประธานาธิบดี ปูติน
ซัลลิแวน วัย 62 ปี กล่าวกับ TASS ว่า “เราไม่มีวันตัดสัมพันธ์กันได้อย่างเด็ดขาด” และย้ำว่า การสั่งปิดสถานทูตระหว่างสหรัฐฯ กับรัสเซียนั้น จะเป็นความผิดพลาดที่ร้ายแรง
“ตามที่ผมเข้าใจ รัฐบาลรัสเซียเคยพูดถึงการตัดความสัมพันธ์ทางการทูต แต่เราไม่สามารถตัดความสัมพันธ์ และเลิกคุยกันไปได้ง่ายๆ
“สาเหตุเดียวที่ผมนึกออก ซึ่งอาจทำให้สหรัฐฯ จำเป็นต้องปิดสถานทูต นั่นก็คือ เมื่อเจ้าหน้าที่ของเราไม่สามารถปฏิบัติงานที่นี่ได้อย่างปลอดภัย” ซัลลิแวน กล่าว