หลังจากที่หน่วยกลาโหมสหราชอาณาจักรเตรียมส่งขีปนาวุธพิสัยไกลให้ยูเครน โดยไม่สนรัสเซียที่เตือนนานาชาติห้ามส่งอาวุธพิสัยไกลให้ยูเครน โดยกระทรวงกลาโหมสหราชอาณาจักรเปิดเผยว่า จะจัดหาเครื่องยิงขีปนาวุธพิสัยไกลรุ่นใหม่ให้กับยูเครน โดยจะเป็น “เครื่องยิงขีปนาวุธแบบติดตามหลายลำกล้อง M270” ซึ่งสามารถโจมตีเป้าหมายได้ไกลถึง 80 กิโลเมตร ท่ามกลางกระแสวิกฤติในประเทศตนเอง เรื่องค่าครองชีพ และเงินเฟ้อ ที่กำลังทำให้ประชาชนจำนวนมาก เตรียมออกมาประท้วงรัฐบาล
ล่าสุดสื่อต่างประเทศ รายงานระบุว่ามาร์ติน แมคเทก ประธานสหพันธ์ธุรกิจขนาดเล็ก (FSB) เตือนว่าค่าใช้จ่ายที่เพิ่มขึ้นได้สร้างระเบิดเวลาสำหรับเจ้าของธุรกิจขนาดเล็กในสหราชอาณาจักร โดยมีบริษัทเกือบครึ่งล้านแห่งที่เสี่ยงต่อการล้มละลายภายในไม่กี่สัปดาห์โดยไม่ได้รับการสนับสนุนจากรัฐบาล
ในขณะที่แมคเทก ชื่นชมการสนับสนุนล่าสุดของริชี ซูแนค รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังที่เยียวยาผู้บริโภคผ่านแพ็คเกจค่าครองชีพมูลค่า 15,000 ล้านปอนด์ที่ประกาศเมื่อสัปดาห์ที่แล้ว แต่เขามองว่าบรรดาผู้ประกอบรายย่อยกำลังเผชิญกับอัตราเงินเฟ้อที่เพิ่มขึ้นเป็นสองเท่าสำหรับต้นทุนการผลิตของพวกเขา และนี่ถือเป็นระเบิดเวลา “พวกเขาเหลือเวลาอีกไม่กี่สัปดาห์ก่อนที่เงินสดจะหมด และนั่นจะหมายถึงธุรกิจหลายแสนราย และผู้คนจำนวนมากจะตกงาน”
ตัวเลขจากสำนักงานสถิติแห่งชาติชี้ให้เห็นว่า 40% ของธุรกิจขนาดเล็กในสหราชอาณาจักร หรือประมาณ 2 ล้านแห่ง มีเงินสดเหลือสำหรับสนับสนุนกิจการของพวกเขาไปได้อีกไม่ถึง 3 เดือน และประมาณ 10% ของ 200,000 แห่งกำลังประสบปัญหาร้ายแรง ขณะที่อีก 300,000 แห่งมีเวลาเหลือเพียงไม่กี่สัปดาห์
เช่น กรณีเจ้าของโรงแรมแห่งหนึ่งในอังกฤษ มีกำไรหายไปเนื่องจากค่าพลังงานที่พุ่งสูงขึ้นมากกว่าระดับปกติถึงห้าเท่า ซึ่งสร้างความเสียหายให้กับอนาคตของธุรกิจของพวกเขาและทุกคนที่ทำงานให้กับพวกเขา
พร้อมเสริมว่าหากไม่มีการสนับสนุนเพิ่มเติมจากรัฐบาลความช่วยเหลือมูลค่ามหาศาลที่รัฐบาลจัดสรรเพื่อช่วยให้ภาคธุรกิจอยู่รอดในช่วงการแพร่ระบาดของโควิด-19 จะสูญเปล่า
ทั้งนี้ ดัชนีราคาผู้บริโภค (CPI) ของอังกฤษพุ่งแตะระดับ 9% ในเดือนเม.ย. ซึ่งสูงที่สุดในรอบ 40 ปี โดยได้รับแรงหนุนจากค่าพลังงานที่พุ่งสูงขึ้น ซึ่งธนาคารกลางของอังกฤษคาดการณ์ว่าอัตราเงินเฟ้อจะสูงสุดที่ประมาณ 10% ในปลายปีนี้ด้วย
