วันที่ 31 พ.ค.2565 นายธนกร วังบุญคงชนะ โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า ครม.รับทราบตามที่กระทรวงการคลังรายงานสัดส่วนหนี้สาธารณะ ณ วันที่ 31 มี.ค.65 โดยอยู่ที่ 9.9 ล้านล้านบาท หรือ 60.58% ต่อผลิตภัณฑ์มวลรวมในประเทศ (จีดีพี) ซึ่งยังอยู่ภายใต้กรอบที่กำหนดไม่เกิน 70% ขณะที่มูลค่าจีดีพีปัจจุบันอยู่ที่ 16.4 ล้านล้านบาท ทั้งนี้รัฐบาลได้จัดสรรงบประมาณรายจ่ายประจำปี 2566 จำนวน 3.18 ล้านล้านบาท และได้ชี้แจงรายละเอียดต่อสภาฯ
สำหรับภาระหนี้ของรัฐบาลต่อประมาณการรายได้ประจำปีงบประมาณ อยู่ที่ 26.77% ต่ำกว่าที่กำหนดไม่เกิน 35% ด้านสัดส่วนหนี้ที่เป็นเงินตราต่างประเทศต่อหนี้สาธารณะ อยู่ที่ 1.79% จากกรอบที่ไม่เกิน 10% ทั้งนี้ สัดส่วนหนี้สาธารณะที่เป็นเงินตราต่างประเทศอยู่ที่ 6,795.69 ล้านบาท คิดเป็น 0.07% ของรายได้จากการส่งออก ที่ 10.177 ล้านล้านบาท จากที่กำหนดไม่เกิน 5% “โควิด-19 ทำให้รัฐต้องกู้เงินมาช่วยเหลือผู้ได้รับผลกระทบและกระตุ้นเศรษฐกิจ ทำให้หนี้สาธารณะเพิ่มขึ้น แต่ขณะนี้โควิดเริ่มดีขึ้น กิจกรรมทางเศรษฐกิจเริ่มกลับมา ทำให้จัดเก็บรายได้สูงขึ้น อีกทั้งมีการบริหารความเสี่ยงหนี้ต่างประเทศ ทำให้สัดส่วนหนี้สาธารณะที่เป็นเงินตราต่างประเทศต่อหนี้สาธารณะทั้งหมด และต่อรายได้ของการส่งออกอยู่ในระดับต่ำ”
ด้านกรอบงบประมาณปี 2566 รัฐบาลตั้งงบฯไว้ที่ 3.18 ล้านล้านบาท โดยเป็นงบฯขาดดุล เพื่อเน้นการฟืันฟูเศรษฐกิจ
พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม แถลงร่างพระราชบัญญัติงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2566 ต่อสภาผู้แทนราษฎรว่า ตามร่างพ.ร.บ.งบประมาณ ได้ตั้งงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2566 เป็นจำนวนไม่เกิน 3.18 ล้านล้านบาท
ทั้งนี้ประเมินว่า เศรษฐกิจไทยในปี 2566 คาดว่าจะขยายตัวในช่วง 3.2 – 4.2% โดยมีปัจจัยสนับสนุนจากการฟื้นตัวอย่างต่อเนื่องของอุปสงค์ภายในประเทศ การขยายตัวของภาคการท่องเที่ยวที่คาดว่าจะมีแนวโน้มกลับมาฟื้นตัวชัดเจนมากขึ้น การส่งออกสินค้ามีแนวโน้มขยายตัวในเกณฑ์ดี
ขณะที่ยังมีข้อจำกัดและปัจจัยเสี่ยงจากความผันผวนของระบบเศรษฐกิจและการเงินโลก การกลายพันธุ์และการระบาดของไวรัส รวมทั้งการลดลงของแรงขับเคลื่อนทางการคลัง โดยคาดว่าอัตราเงินเฟ้อจะอยู่ในช่วง 0.5 – 1.5%
ภายใต้สภาวการณ์ทางเศรษฐกิจดังกล่าว รัฐบาลจึงมีความจำเป็นต้องดำเนินนโยบายการคลังแบบขยายตัวผ่านการจัดทำงบประมาณขาดดุล เพื่อสนับสนุนการฟื้นตัวของเศรษฐกิจให้เป็นไปอย่างต่อเนื่อง โดยในปีงบประมาณ พ.ศ. 2566คาดว่ารายได้จะฟื้นตัวอย่างค่อยเป็นค่อยไปตามการฟื้นตัวของเศรษฐกิจภายหลังสถานการณ์การแพร่ระบาดของโควิด-19 เริ่มคลี่คลาย และการผ่อนคลายมาตรการควบคุมโรค
โดยประมาณการว่าจะจัดเก็บรายได้จากภาษีอากร การขายสิ่งของและบริการ รัฐพาณิชย์ และรายได้อื่น รวมสุทธิ 2,614,100 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 4.1% จากปีก่อน และหักการจัดสรรภาษีมูลค่าเพิ่มให้องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นตามพ.ร.บ.กำหนดแผนและขั้นตอนการกระจายอำนาจให้องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น พ.ศ. 2562 และที่แก้ไขเพิ่มเติม124,100 ล้านบาท คงเหลือเป็นรายได้สุทธิที่สามารถนำมาจัดสรรเป็นรายจ่ายของรัฐบาล 2.49 ล้านล้านบาท
สำหรับการดำเนินนโยบายการคลังในปีงบประมาณ 2566 จึงเป็นการดำเนินนโยบายงบประมาณแบบขาดดุล โดยกำหนดรายได้สุทธิ 2.49 ล้านล้านบาท และเงินกู้เพื่อชดเชยการขาดดุลงบประมาณ 695,000 ล้านบาท รวมเป็นรายรับ 3.18 ล้านล้านบาท เท่ากับวงเงินงบประมาณรายจ่าย
ส่วนฐานะการคลัง พบว่า หนี้สาธารณะคงค้าง ณ วันที่ 31 มีนาคม 2565 มีจำนวน 9,951,962 ล้านบาท คิดเป็น 60.6% ต่อ GDP ซึ่งอยู่ภายใต้กรอบการบริหารหนี้สาธารณะ ตามกฎหมายว่าด้วยวินัยการเงินการคลังของรัฐ ที่กำหนดไว้ที่ 70% โดยหนี้สาธารณะที่เป็นข้อผูกพันของรัฐบาล ซึ่งเกิดจากการกู้ยืมเงินโดยตรงและการค้ำประกันเงินกู้โดยรัฐบาล มีจำนวน 9,478,592 ล้านบาท
โดยฐานะเงินคงคลัง ณ วันที่ 30 เมษายน 2565 มีจำนวน 398,830 ล้านบาท โดยรัฐบาลจะบริหารเงินคงคลังให้อยู่ในระดับที่เหมาะสม และบริหารรายรับและรายจ่ายของรัฐบาลให้มีประสิทธิภาพและเกิดประโยชน์สูงสุด
ขณะที่ฐานะและนโยบายการเงินการดำเนินนโยบายการเงินในช่วงที่ผ่านมายังคงผ่อนคลายเพื่อสนับสนุนการฟื้นตัวของเศรษฐกิจไทยให้มีความต่อเนื่อง อัตราเงินเฟ้อทั่วไปในปี 2565 มีแนวโน้มเพิ่มขึ้นเกินกรอบเป้าหมายจากราคาพลังงานและราคาอาหารที่ปรับสูงขึ้นมาก และจะปรับลดลงอย่างค่อยเป็นค่อยไปและกลับเข้าสู่กรอบเป้าหมายในช่วงต้นปี 2566 จากราคาพลังงานและอาหารที่คาดว่าจะไม่ปรับเพิ่มสูงขึ้นต่อเนื่องเช่นในปี 2565
รวมทั้งปัญหาการขาดแคลนวัตถุดิบและสินค้าโภคภัณฑ์โลกที่จะบรรเทาลง ในขณะที่แรงกดดันเงินเฟ้อด้านอุปสงค์ยังอยู่ในระดับต่ำ ทั้งนี้ คาดการณ์ว่าอัตราเงินเฟ้อในระยะยาวยังคงอยู่ในกรอบเป้าหมาย สำหรับด้านระบบการเงินโดยรวมมีเสถียรภาพ แต่ภาคธุรกิจและภาคครัวเรือนมีความเปราะบางขึ้นในบางกลุ่มจากปัญหาค่าครองชีพและต้นทุนที่มีการปรับเพิ่มขึ้น
โดยเฉพาะกลุ่มที่รายได้ยังไม่ฟื้นตัวเต็มที่และมีภาระหนี้ที่อยู่ในระดับสูง คณะกรรมการนโยบายการเงินจึงมีมติให้คงอัตราดอกเบี้ยนโยบายต่อเนื่องที่ 0.50% ในการประชุมเดือนกุมภาพันธ์และมีนาคม 2565 เพื่อให้ภาวะการเงินโดยรวมยังคงผ่อนคลาย และสนับสนุนการฟื้นตัวของเศรษฐกิจที่ยังมีความไม่แน่นอนสูง
สำหรับฐานะการเงินด้านต่างประเทศของไทยในปัจจุบันอยู่ในเกณฑ์ดี มูลค่าเงินสำรองระหว่างประเทศ ณ วันที่ 22 เมษายน 2565 มีจำนวน 233,926 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ หรือคิดเป็นประมาณ 3.15 เท่าของหนี้ต่างประเทศระยะสั้น ซึ่งถือว่าอยู่ในระดับที่แข็งแกร่ง
พล.อ.ประยุทธ์ กล่าวว่า นโยบายการจัดทำงบประมาณ ร่างพ.ร.บ.งบประมาณ 2566 จัดทำขึ้นโดยมีเป้าหมายให้ประเทศได้รับการพัฒนาและฟื้นฟูจากผลกระทบของการแพร่ระบาดของโควิด-19 ทั้งในด้านเศรษฐกิจ สังคม ทรัพยากรมนุษย์ ความมั่นคง และสิ่งแวดล้อม
สาระสำคัญของงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2566 วงเงิน 3,185,000 ล้านบาท แบ่งเป็น
-รายจ่ายประจำ 2,396,942 ล้านบาท คิดเป็น 75.26%
-รายจ่ายลงทุน 695,077 ล้านบาท คิดเป็น 21.82%
-รายจ่ายชำระคืนต้นเงินกู้ 100,000 ล้านบาท คิดเป็น 3.14%
งบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2566 จำแนกตามกลุ่มงบประมาณรายจ่าย
-งบประมาณรายจ่ายงบกลาง 590,470 ล้านบาท
-งบประมาณรายจ่ายของหน่วยรับงบประมาณ 1,090,329 ล้านบาท
-งบประมาณรายจ่ายบูรณาการ 218,477 ล้านบาท
-งบประมาณรายจ่ายบุคลากร 772,119 ล้านบาท
-งบประมาณรายจ่ายสำหรับทุนหมุนเวียน 206,985 ล้านบาท
-งบประมาณรายจ่ายเพื่อการชำระหนี้ภาครัฐ 306,618 ล้านบาท
นอกจากนี้รัฐบาลได้จัดสรรงบประมาณรายจ่ายไว้ จำนวน 402,518 ล้านบาท คิดเป็น 12.6% ของวงเงินงบประมาณ เพื่อเป็นค่าใช้จ่ายรองรับเหตุการณ์ที่อาจเกิดขึ้นโดยมิได้คาดหมายสำหรับกรณีฉุกเฉินหรือจำเป็น การบริหารจัดการหนี้ภาครัฐ ดังนี้
-รายจ่ายงบกลางเพื่อรองรับกรณีฉุกเฉินหรือจำเป็น จำนวน 95,900 ล้านบาท
-การบริหารจัดการหนี้ภาครัฐ จำนวน 306,618 ล้านบาท