เปิดคลิปนาที “นายกฯ” สวนชลน่าน! สะเทือนถึงนายใหญ่ ใครพูดถ้าไม่เลือกก็ไม่ให้งบ แถมยังติดคุกหนีคดีอื้อ
จากกรณีที่วันนี้ (31 พฤษภาคม 2565) การประชุมสภาผู้แทนราษฎร เพื่อพิจารณาร่าง พ.ร.บ.งบประมาณ 2566 วงเงิน 3.18 ล้านล้าน เริ่มต้นขึ้นแล้วเมื่อเวลา 10.00 น. โดยพล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี อภิปรายเสนอร่างพ.ร.บ.ต่อสภาผู้แทนฯ
โดยทาง นพ.ชลน่าน ศรีแก้ว ส.ส.น่าน และหัวหน้าพรรคเพื่อไทย อภิปรายต่อที่ประชุมสภาผู้แทนราษฎร วาระพิจารณาร่างพระราชบัญญัติ (พ.ร.บ.) งบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ.2566 วงเงิน 3.185 ล้านล้านบาท วาระแรก เป็นวันแรก ย้ำจุดยืนว่าจะไม่รับหลักการร่างพ.ร.บ.งบฯ66 เนื่องจากไม่ไว้วางใจ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรมว.กลาโหม ให้บริหารงบประมาณ
เนื่องจากการบริหารประเทศที่ผ่านมาพบความล้มเหลวในการบริหาร ทำประชาชนจน ประเทศเจ๊ง และทิ้งมรดกหนี้ไว้ให้ประชาชน ทั้งหนี้สาธารณะ หนี้ครัวเรือน และหนี้เสีย ดังนั้นเมื่อรัฐบาลที่ล้มเหลวจะขอสภาฯ ให้อนุมัติงบประมาณ 3.185 ล้านล้านบาท และต้องกู้เพิ่มอีก6.95 แสนล้านบาท ถือเป็นบทพิสูจน์ว่าการบริหารงานไรร้ความสามารถ ไร้ศักยภาพในการบริหารประเทศ และอาจก่อให้เกิดความเสียหายกับประเทศในอนาคต รวมถึงจะทำให้ประประชาชนขาดความหวัง และประเทศเผชิญวิกฤต สำหรับการบริหารประเทศ ตลอด 8 ปีของผู้นำปัจจุบัน ทำให้ประเทศถึงจุดเสื่อมและทรุดที่สุด ทางออกคือต้องเปลี่ยนตัวผู้นำ
ซึ่งต่อมาทำให้ พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา ได้ลุกขึ้นสวนทันที โดยบอกว่า งบประมาณการลงทุน นายกรัฐมนตี ได้ตั้งมาแล้ว แต่ถูกตัดออกไป ที่อ้างว่า ตัดแล้ว เอาไปใช้ในงบกลาง ซึ่งงบกลาง นายกฯไม่ได้สั่งใช้เองทั้งหมด เพราะต้องเสนอโครงการเข้ามายังครม. และนำงบประมาณดังกล่าวไปใช้ในโครงการที่ไม่ได้รับงบประมาณ ถึงแม้จะมี 3 ล้านล้านก็ตาม เสนอมาเกิน 50 % กว่าจะปรับลดลงมาได้ ก็ต้องไปสอดคล้องกับคีวามต้องการของประชาชนในพื้นที่
ไม่ใช่วันนี้จะให้ใครก็ให้ ไม่เหมือนสมัยก่อน บางคนท่านพูดมาผมก็พูดไป ได้มีการประกาศไว้ว่า ถ้าไม่เลือกก็ไม่ให้ ไปดูแผนงานโครงการของเราลงทุกที่ ทุกจังหวัดหรือไม่ ในเรื่องของการส่อโกงต่างๆ ก็ไปพิสูจน์กันในกระบวนการยุติธรรม ถ้ามีหลักฐานก็ฟ้องร้องกันไป ก็ย้อนกลับไปดูด้วยที่ผ่านมาเกิดอะไรขึ้นในกระบวนการยุติธรรม มีติดคุก หนีคดีหรือไม่
อย่างไรก็ตาม ย้อนไปก่อนหน้านี้ นายทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี กล่าวกับชาว จ.นครสวรรค์ ระหว่างการเป็นประธานมอบหนังสือแสดงสิทธิสัญญาเช่าที่ราชพัสดุให้กับประชาชน ตามโครงการรัฐเอื้อราษฎร์ ที่หอประชุมโรงเรียนบรรพตพิทยาคม อ.บรรพตพิสัย จ.นครสวรรค์ ว่า
“จังหวัดไหนมอบความไว้วางใจด้วยการเลือกผู้สมัครส.ส.ของพรรคไทยรักไทย จะได้รับการดูแลเป็นพิเศษ ส่วนจังหวัดที่ไว้วางใจน้อย ต้องเอาไว้ทีหลัง ต้องเป็นไปตามคิว ผมเป็นคนพูดตรงไปตรงมา เปิดเผย สื่อมวลชนอยู่ต้องเปิดเผย ไม่มีความลับสำหรับผม วันนี้คิดกับประชาชนอย่างไร ก็อยากเห็นคนทั้งประเทศไม่ว่าอยู่ที่ไหน เลือกหรือไม่เลือกผม ก็อยากให้ทุกคนหายจน แต่เนื่องจากเวลาจำกัดก็ต้องไล่ลำดับกันไป”
การกล่าวของทักษิณ ครั้งนี้ เกิดขึ้นหลังทราบผลการเลือกตั้งซ่อมใน 3 จังหวัด ที่พรรคไทยรักไทยส่งผู้สมัครลงแข่งขัน แต่สามารถชนะการเลือกตั้งกลับเข้าสภามาได้เพียง 1 จังหวัด คือที่จ.สิงห์บุรี ที่ชนะผู้สมัครจากพรรคชาติไทย กลับเข้ามาแบบฉิวเฉียด 700 กว่าคะแนน จากที่เคยชนะกว่า 2 หมื่นคะแนน ส่วนจ.พิจิตร พ่ายแพ้ผู้สมัครจากพรรคมหาชน กว่า 17,000 คะแนน และ แพ้พรรคชาติไทย ที่จ.อุทัยธานี เกือบ 1 หมื่นคะแนน ทั้งที่ทักษิณ ประกาศว่าเป็นบ้านเกิดของพ่อตาที่จะต้องเอาชนะให้ได้ ซึ่งการกล่าวของทักษิณครั้งนี้ทำให้มีเสียงวิพากษ์วิจารณ์ตามมาอย่างมาก นอกจากนี้ นายทักษิณ ยังมีคดีทุจริต อีกหลายคดี โดยศาลฎีกาฯสั่งจำคุก 6 คดี รวมโทษ 12 ปี ยกฟ้อง 2 คดี เหลือไต่สวนในชั้น ป.ป.ช. 2 คดี