หลังจากที่มีการจับตามองสถานการณ์ในอังกฤษ ตั้งแต่ช่วงต้นเดือน พ.ค. ว่ามีประชาชนจำนวนไม่น้อยกำลังเดือดร้อน เผชิญกับราคาน้ำมันแพง ขาดแคลนอาหารและธัญพืช รวมถึงปัญหาคนไร้บ้าน และต้องออกมานอนริมถนนมากขึ้นด้วย ขณะที่ฝั่งสหรัฐฯก็เจอราคาน้ำมันพุ่งสูงสุดในประวัติการณ์ ทำให้ประชาชนเดือดร้อนอย่างหนัก
โดยครั้งนั้นมีรายงานราคาน้ำมันในสหรัฐพุ่งสูงสุดทำสถิติใหม่ที่ 4.37 ดอลลาร์ต่อแกลลอน (1 แกลลอนเท่ากับ 3.785 ลิตร ดังนั้น เท่ากับราคาน้ำมันในสหรัฐขณะนี้ตกลิตรละเกือบ 40 บาท) ซึ่งสูงกว่าสถิติเดิมเมื่อวันที่ 11 มีนาคม ที่ 4.33 ดอลลาร์ต่อแกลลอน อย่างไรก็ดี เมื่อเทียบกับราคาเฉลี่ยต่อแกลลอนในปีที่ผ่านมาอยู่ที่ 2.97 ดอลลาร์เท่านั้น
ล่าสุดในเพจเฟซบุ๊ก World Maker ได้โพสต์ข้อความระบุว่า ” เฟ้อให้สุด !! ล่าสุดราคาน้ำมันในสหรัฐฯ พุ่งสู่ระดับ Record High ใหม่พร้อม ๆ กับอังกฤษ ทำค่าครองชีพพุ่ง” ล่าสุดราคาน้ำมันเบนซิน (gasoline) ของสหรัฐฯ ได้พุ่งขึ้นสู่ระดับ Record High ใหม่อีกครั้ที่ 4.619 ดอลลาร์/แกลลอน ซึ่งสูงกว่าราคาขายในช่วงเดียวกันของปีที่แล้วถึง 52%
ทางฝั่งพี่เสือไบ ล่าสุดออกมาให้คำมั่นว่าจะทำทุกอย่างเท่าที่ทำได้เพื่อต่อสู้กับราคาน้ำมันที่พุ่งขึ้นทำสถิติใหม่ ซึ่งแน่นอนว่าเริ่มมีการพูดถึงกันมากขึ้นว่าสหรัฐฯ จะใช้นโยบาย ปล่อยน้ำมันออกจากคลังสำรองเชิงยุทธศาสตร์หรือไม่ เนื่องจากตอนนี้ค่าครองชีพของชาวอเมริกันพุ่งสูงขึ้นอย่างรวดเร็วและต่อเนื่อง และแหล่งข่าวก็รายงานอีกว่า พี่เสือไบนั้นไม่มีทางเลือกมากนัก
สัญญาน้ำมันเบนซินล่วงหน้าของ Nymex ปรับตัวดีขึ้นในการซื้อขายช่วงต้นวันนี้ โดยแตะระดับสูงสุดที่ 403.33 เซนต์/แกลลอน ซึ่งจะเป็นสถิติใหม่เช่นกันหากยังทรงตัวอยู่ที่ระดับนี้
ขณะเดียวกัน สัญญาซื้อขายน้ำมันดิบ WTI และ Brent ตอนนี้พุ่งขึ้นมาที่ 116, 120 ดอลลาร์/บาร์เรลตามลำดับ แม้ว่าจะมีข่าวดีเรื่องที่จีนจะผ่อนคลายการ Lockdown เซี่ยงไฮ้ก็ตาม แต่ความตึงเครียดทางภูมิรัฐศาสตร์ที่เกิดขึ้นยังคงเป็นปัจจัยหลักที่พยุงไม่ให้ราคาน้ำมันร่วงกลับลงไปในระดับปกติซึ่งต้องมาติดตามกันต่อไปอย่างใกล้ชิดว่าความตึงเครียดเหล่านี้จะส่งผลต่อต้นทุนพลังงานทั่วโลกไปในระยะยาวเลยหรือไม่ ?
อย่างไรก็ตามสถานการณ์ทางอังกฤษ พบว่าการสำรวจ Ipsos UK จำนวน 2,061 คน ที่มีอายุระหว่าง 16-75 ปีในสหราชอาณาจักร ดำเนินการทางออนไลน์ระหว่างวันที่ 11-12 พฤษภาคม ที่จัดทำขึ้นสำหรับ Sky News โดยเฉพาะ ยังพบด้วยว่ามากกว่า 4 ใน 5 มีความกังวลเกี่ยวกับค่าครองชีพที่สูงขึ้นในอีกไม่กี่เดือนข้างหน้า
ผลสำรวจยังชี้ให้เห็นถึงแรงกดดันจากค่าครองชีพที่เพิ่มขึ้น โดยเฉพาะคนส่วนใหญ่ที่มีรายได้ต่ำ โดยมากกว่าครึ่งของผู้มีรายได้น้อยกว่า 20,000 ปอนด์ต่อปี หรือ 862,000 บาท ‘กังวลมาก’ เกี่ยวกับค่าครองชีพในช่วง 6 เดือนข้างหน้า
ชาวอังกฤษ 3 ใน 5 คน ปิดฮีตเตอร์ที่ให้ความร้อน เพื่อลดค่าพลังงาน หลังหลายล้านครัวเรือนในสหราชอาณาจักรต้องเผชิญกับราคาที่เพิ่มขึ้น 54% ในเดือนเมษายน โดยคาดว่าจะเพิ่มขึ้นอีกอย่างมากในเดือนตุลาคม
ขณะเดียวกัน 1 ใน 5 คน ได้ใช้วิธีกู้ยืมเพื่อใช้จ่ายในชีวิตประจำวัน นอกจากนี้หลายคนเลือกขับรถให้น้อยลง โดยมากกว่าครึ่งได้ลดระยะการใช้งานไปแล้ว หรือกำลังพิจารณาที่จะทำเช่นนั้น อันเป็นผลจากราคาน้ำมันเบนซินและดีเซลที่เพิ่มสูงขึ้นเป็นประวัติการณ์ในปีนี้ หลังจากการรุกรานยูเครนของรัสเซียเริ่มต้นขึ้น