จากสถานการณ์ปมเดือดระหว่างรัสเซีย-ยูเครน ผ่านพ้นเข้ามาสู่ 12 สัปดาห์ที่มีการสู้รบอย่างดุเดือด โดยฝั่งกองกำลังยูเครนสามารถยันไม่ให้รัสเซียเข้ายึดเคียฟและคาร์คีฟ เมืองหลวงและเมืองใหญ่อันดับ 2 ตามลำดับ แต่ขณะเดียวกันก็ต้องยอมรับว่า ยูเครนกำลังถูกจัดการไล่บี้อย่างหนักอีกครั้งในเขตดอนบาสทางตะวันออก
แม้ว่าพันธมิตรตะวันตกระดมส่งอาวุธล้ำสมัยช่วยยูเครน ควบคู่แซงชันรัสเซียและคนใกล้ชิดประธานาธิบดีวลาดิมีร์ ปูติน แต่ทางรัฐบาลเครมลินตอบโต้ด้วยการระงับการจัดส่งพลังงานให้ยุโรป และได้ยุติการส่งก๊าซให้ฟินแลนด์ ที่เมื่อสัปดาห์ที่แล้วยื่นใบสมัครอย่างเป็นทางการเข้าเป็นสมาชิกองค์การสนธิสัญญาแอตแลนติกเหนือ (นาโต้) พร้อมกับสวีเดน จึงทำให้ตอนนี้รัสเซียดูเหนือเกมกว่ามากในหลายด้าน
ทั้งนี้ทางด้านประธานาธิบดีโวโลดิมีร์ เซเลนสกี ของยูเครน ได้ปราศรัยทางทีวีเมื่อวันเสาร์ ที่ 21 พ.ค. 2565 ที่ผ่านมาว่า สงครามจะยุติลงได้ด้วยแนวทางการทูตเท่านั้น พร้อมให้สัญญาว่า ผลสรุปสุดท้ายจะ “เป็นธรรม” สำหรับยูเครน และยังเรียกร้องขอความช่วยเหลือทางทหารเพิ่มเติม แม้ว่าไบเดนเพิ่งอนุมัติแพกเกจความช่วยเหลือใหม่มูลค่า 40,000 ล้านดอลลาร์ให้ยูเครนก็ตาม
เซเลนสกี กล่าวอย่างมีความหวังว่า ยูเครนควรได้สถานะผู้สมัครเข้าเป็นสมาชิกอียูอย่างสมบูรณ์ โดยไม่เห็นด้วยกับข้อเสนอแนะของประธานาธิบดี เอมมานูเอล มาครง ของฝรั่งเศส และผู้นำบางคนในอียู ที่เสนอให้จัดตั้งประชาคมทางการเมืองระหว่างรอการพิจารณาเข้าเป็นสมาชิก แต่แล้วสหรัฐฯน่าจะดับฝันยูเครนอีกครั้ง เนื่องจากเข้าร่วมนาโตไม่ได้
ในส่วนสถานการณ์การสู้รบนั้น การต่อสู้ที่ดุเดือดที่สุดอยู่ในดอนบาสที่กลุ่มแบ่งแยกดินแดนฝักใฝ่รัสเซียควบคุมพื้นที่บางส่วนมาตั้งแต่ปี 2014 อย่างไรก็ตามมีรายงานจากกระทรวงกลาโหมรัสเซียอ้างว่า ได้ยิงขีปนาวุธพิสัยไกลถล่มสถานีรถไฟมาลินในเขตไซโตมีร์ทางตะวันตกของเคียฟ และทำลายอาวุธล็อตใหญ่ของอเมริกาและยุโรป และการสู้รบในโรงงานเหล็กอาซอฟสตัลในเมืองมาริอูโปลยุติลงแล้ว หลังจากนักรบยูเครนกลุ่มสุดท้าย 500 คนยอมวางอาวุธ รวมจำนวนนักรบที่ยอมจำนนนับจากวันที่ 16 พ.ค. มีทั้งสิ้น 2,439 คน