จากที่พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีไทย ได้เข้าร่วมประชุมสุดยอดอาเซียน-สหรัฐฯ โดยประธานาธิบดีโจ ไบเดน ได้เปิดโอกาสให้ผู้นำอาเซียนร่วมกำหนดทิศทางความสัมพันธ์ระหว่างกัน ซึ่งมีข้อสรุปของชาติอาเซียนที่นาสนใจยิ่ง!!
ทั้งนี้มีความเคลื่อนไหวภายหลังจากการประชุมโดยนายไพศาล พืชมงคล อดีตกรรมการผู้ช่วยรองนายกรัฐมนตรี (พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ) ได้โพสต์ข้อความลงในเฟซบุ๊ก Paisal Puechmongkol ถึงท่าทีของประเทศอาเซียนว่า “ท่าทีใหม่ของอาเซียน
- ในการประชุมอาเซียน-สหรัฐ ครั้งล่าสุดนี้ เมื่อเสร็จการประชุมแล้ว กลุ่มอาเซียนได้ออกแถลงการณ์ร่วม สรุปได้ดังนี้
1.1. อาเซียนมีมติไม่ประณามรัสเซีย ดังนั้นที่ไทยเคยลงมติประณามรัสเซียไปก็เป็นเรื่องส่วนตัว
และเนื่องจากเป็นแถลงการณ์ร่วม ไทยจึงผูกพันด้วย และเป็นข้อควรสังวรว่า เมื่อไทยเป็นสมาชิกอาเซียน และกัมพูชาเป็นประธาน ก็ควรต้องถือมติกลุ่มอาเซียนเป็นหลัก ไม่ควรล้ำเส้นล้ำหน้า ซึ่งทำให้เสียหน้าดังกรณีนี้
1.2. อาเซียนมีมติร่วมกันว่า จะวางตัวเป็นกลางไม่ตั้งตนเป็นศัตรูกับฝ่ายใดฝ่ายหนึ่ง และจะร่วมมือกับทุกฝ่ายในการสร้างสันติภาพและการพัฒนาเศรษฐกิจเพื่อผลประโยชน์ร่วมกัน
1.3. อาเซียนหวังว่าสหรัฐจะสนับสนุนให้ภูมิภาคนี้มีสันติภาพมีความสงบสุขมีความเจริญก้าวหน้าและเป็นภูมิภาคที่มีความร่วมมือกันทุกฝ่าย
- แถลงการณ์ร่วมดังกล่าวจึงเป็นการปฏิเสธโดยนัยยะสำคัญว่าอาเซียนไม่เข้าร่วม #นาโต้2 และไม่ตั้งตนเป็นศัตรูกับจีนหรือ คัดค้านจีน และเรียกร้องให้ทุกฝ่ายยุติความขัดแย้งด้วย จึงต้องจับตาดูว่าประเทศไทยจะปรับท่าทีนี้อย่างไร
- รัฐบาลไทยก็ดูเหมือนจะทราบกระแสคัดค้านของภาคประชาชนทุกหมู่เหล่าว่าไม่ต้องการให้ประเทศไทยเข้าร่วม #นาโต้2 หรือเข้าร่วมยุทธศาสตร์อินโดแปซิฟิกเพราะไม่ต้องการให้ประเทศไทยเป็นสนามรบ แต่ต้องการให้ประเทศไทยมีความร่วมมือกับทุกฝ่าย มีมิตรไมตรีกับทุกฝ่ายในการสร้างสรรค์และพัฒนาเพื่อผลประโยชน์ร่วมกัน
- เป็นที่สังเกตว่ากลุ่มไอโอที่สนับสนุนรัฐบาลได้เริ่มปรับท่าที แสดงความเป็นมิตรไมตรีกับรัสเซียมากขึ้น เช่น นำเสนอข่าวว่าไทยกับรัสเซียมีมิตรไมตรีกันยาวนานและช่วยเหลือกันมาตลอด
ซึ่งถ้าปฏิบัติตามนี้ก็จะเป็นที่ชื่นชมของประชาชน และอาจต้องทบทวนความร่วมมือกับรัสเซียเพิ่มขึ้น เช่น การซื้อน้ำมันราคาถูกจากรัสเซียมาลดรายจ่ายของประชาชน การค้าขายกับรัสเซียเพิ่มขึ้น
และการฟื้นข้อตกลงความร่วมมือในด้านข่าวสารที่สถานีช่องห้าได้ทำกับหลายประเทศรวมทั้งรัสเซียด้วย เพื่อให้สถานีโทรทัศน์ช่องห้าเป็นฮับทางด้านข่าวสารของอาเซียน ตามนโยบายที่อดีตผู้อำนวยการช่องห้าเคยวางไว้
จะเป็นประโยชน์สูงสุดแก่ประเทศไทย เพราะจะทำให้คนไทยได้รับทราบข่าวสารทั่วด้าน ไม่ฟังความข้างเดียว ซึ่งทำให้เกิดความเข้าใจผิด และจะเป็นการลดบทบาทของ”สโมสรผู้สื่อข่าวต่างประเทศ” ซึ่งเป็นศูนย์กระจายข่าวสารตะวันตก ทำให้คนไทยเข้าใจผิดในสถานการณ์ต่างๆ”