สำแดงพลัง!อินเดียยิงมิสไซล์บรามอสจากบินรบซู-30 ผลงานสร้างร่วมรัสเซีย ขณะวิ่งสู้ฟัดเงินเฟ้อกระฉูดรอบ 8 ปี

0

ขณะที่สงครามใน ยูเครน กำลังจะเข้าสู่สัปดาห์ที่ 12 บรรยากาศสู้รบยังคงดุเดือด ในพื้นที่ การปะทะทางทหารฝ่ายรัสเซียยังคงได้เปรียบ ทำให้ผู้นำยูเครนโวยวายร้องขอความช่วยเหลือจากสหรัฐและสมาชิกนาโต้ในยุโรปเป็นรายวัน อินเดียซึ่งพื้นที่อยู่ไกลจากสนามรบ แต่ถูกโยงมาเกี่ยวกับสงครามขัดแย้งครั้งนี้ด้วย เพราะไม่ร่วมคว่ำบาตรรัสเซีย ตามคำเรียกร้องวอชิงตัน ล่าสุดประกาศศักยภาพทางทหารรับสถานการณ์คุกรุ่นระหว่างมหาอำนาจเก่าและผู้ท้าชิง ซ้อมยิงมิสไซล์ที่ร่วมพัฒนากับรัสเซีย ขณะเดียวกันก็ต้องเร่งรับมือความปั่นป่วนเศรษฐกิจเรื่องค่าเงินอ่อน เงินเฟ้อกระฉูด

วันที่ 13 พ.ค. สำนักข่าวซินหัว รายงานแถลงการณ์จากกระทรวงกลาโหมอินเดียระบุว่ากองทัพอากาศอินเดียประสบความสำเร็จในการยิงขีปนาวุธบรามอส (BrahMos) รุ่นขยายพิสัย จากเครื่องบินขับไล่ซู-30เอ็มเคไอ (Su-30MKI) เป็นครั้งแรก เมื่อวันพฤหัสบดีที่ 12 พ.ค.ที่ผ่านมา

แถลงการณ์เปิดเผยว่าการยิงขีปนาวุธดังกล่าวเป็นไปตามแผนที่วางไว้และโจมตีเป้าหมายโดยตรง บริเวณพื้นที่อ่าวเบงกอล โดยความสำเร็จครั้งนี้ถือเป็นการบรรลุการโจมตีเป้าหมายทางบกและทางทะเลระยะไกลอย่างแม่นยำโดยใช้เครื่องบินขับไล่รุ่นดังกล่าว

ปัจจุบันขีปนาวุธ “บรามอส” ซึ่งเป็นขีปนาวุธความเร็วเหนือเสียงที่พัฒนาร่วมกันโดยอินเดียและรัสเซีย ถูกใช้งานในกองทัพบก กองทัพเรือ และกองทัพอากาศของอินเดีย สามารถบินด้วยความเร็ว 2.8-3 มัค และบรรทุกหัวรบธรรมดาที่มีน้ำหนัก 200-300 กิโลกรัม ขณะพิสัยของขีปนาวุธรุ่นนี้ถูกขยายจากเดิม 290 กิโลเมตร เป็น 350 กิโลเมตร

ผู้เชี่ยวชาญด้านการป้องกันประเทศได้ตั้งข้อสังเกตว่าพิสัยไกลและสมรรถนะสูงของเครื่องบิน Su-30MKI ทำให้กองทัพอากาศของอินเดียสามารถเข้าถึงเป้าหมายเชิงกลยุทธ์ ได้อย่างมีประสิทธิภาพ

ผู้เชี่ยวชาญกล่าวว่า “นี่เป็นครั้งแรกที่ขีปนาวุธบรามอส ตัวใหม่นี้มีระยะโจมตีมากกว่าเดิม ได้ทำการทดสอบจากทางอากาศแล้ว อธิบายว่าสิ่งนี้จะเป็นประโยชน์ต่อความสามารถในการป้องกันประเทศของอินเดียอย่างไรเมื่อรวมเข้ากับเครื่องบินรบ ซูคอย ซึ่งมีรัศมีการต่อสู้เกือบ 1,500 กม. โดยไม่มีการเติมเชื้อเพลิงกลางอากาศ เป็นชุดอาวุธที่น่าเกรงขามมาก สิ่งนี้จะมีประโยชน์ในช่วงเวลาที่อินเดียกำลังเผชิญกับภัยคุกคามจากภายนอก”

ขณะที่แสดงศักยภาพทางการทหารข่มฝ่ายตรงข้าม อินเดียยังต้องเผชิญกับปัญหาเศรษฐกิจในปัจจุบัน ไม่ต่างจากสหรัฐและยุโรป แม้จะมีน้ำมันราคาถูกจากรัสเซียบรรเทาปัญหาราคาน้ำมันแพง แต่ยังไม่พอเพราะล่าสุด เงินเฟ้ออินเดียพุ่งสูงสุดในรอบ 8 ปีที่ 7.79% ! สูงกว่าคาดการณ์และเพิ่มความตึงเครียดให้แก่สกุลเงินรูปีที่กำลังอ่อนค่าอยู่  นักวิเคราะห์มองว่า ธนาคารกลางของอินเดียจะปรับขึ้นดอกเบี้ยอีก หลังจากเริ่มใช้ทุนสำรองประคองค่าเงินบางส่วนแล้ว

ประเด็นนี้ทางเพจสาธารณะ World Maker รายงานไว้น่าสนใจดังนี้:

ล่าสุดอัตราเงินเฟ้อทั่วโลกยังคงน่าจับตามองอย่างต่อเนื่อง !!! ประเทศยักษ์ใหญ่อย่างอินเดียก็ได้ประกาศเงินเฟ้อผู้บริโภคหรือ CPI ประจำเดือนเมษายนออกมาอยู่ที่ 7.79% ซึ่งสูงกว่าคาดการณ์และสูงสุดในรอบ 8 ปีอีกด้วย !

ตัวเลขดังกล่าวเพิ่มขึ้นจาก 6.95% ในเดือนมีนาคม ในขณะที่แนวโน้มของเงินเฟ้อยังคงดูมีแรงผลักดันต่อไป โดยธนาคารกลางอินเดีย (RBI) ตั้งเป้าหมายไว้ 2-6% (หมายความว่าตอนนี้เงินเฟ้อสูงกว่าเป้าหมายไปแล้ว)

นักวิเคราะห์หลายคนมองว่าแรงกดดันเหล่านี้จะทำให้ RBI ยกระดับการกระชับนโยบายทางการเงินให้สูงขึ้นไปอีก โดยอาจมีการปรับขึ้นดอกเบี้ยเพิ่มเติม ซึ่งเบื้องต้นมองว่า RBI จะปรับขึ้นดอกเบี้ยอีกอย่างน้อย 0.75-1% ภายในปีงบประมาณนี้

ตอนนี้เงินรูปีอินเดียยังอยู่ใกล้จุดต่ำสุดเป็นประวัติการณ์ที่ราว ๆ 75-77 ต่อ 1 ดอลลาร์ ขณะที่ราคาอาหารภายในประเทศเพิ่มขึ้นเกือบ 8.4% ส่วนราคาเชื้อเพลิงเพิ่มขึ้นราว 11% (แต่ราคาทั้ง 2 ยังเฟ้อน้อยกว่าสหรัฐฯ และในยุโรปมาก)

เราคงต้องมาจับตามองกันอย่างใกล้ชิดเลยทีเดียว ! ว่าสถานการณ์เงินเฟ้อและภาวะ ‘เงินทุนไหลออก’ ที่ทำให้เงินรูปีอ่อนค่าอย่างรวดเร็วนี้จะดำเนินไปถึงจุดไหน ? และธนาคารกลางอินเดียจะงัดนโยบายใดออกมาใช้เพิ่มเติมอีกบ้าง ? หลังจากล่าสุดมีการควักทุนสำรองบางส่วนมาประคองค่าเงินแล้ว !

ทั้งนี้ ทางRBIไม่ได้ประกาศว่าจะใช้ทุนสำรองเพื่อประคองค่าเงินอย่างจริงจัง แต่ประกาศเพียงแค่ว่าจะใช้เพื่อ “ชะลอ” การอ่อนค่าของรูปีเท่านั้น ซึ่งแปลว่าแนวโน้มหลักของค่าเงินยังคงเป็น ‘การอ่อนค่าเทียบกับดอลลาร์’

คงไม่มีใครบอกได้แน่ชัดว่าตลาดการเงินโลกจะเป็นไปในทิศทางไหนต่อไป เพราะแม้แต่ผู้เชี่ยวชาญเองก็ทำได้มากที่สุดแค่ “คาดการณ์หรือวิเคราะห์” เท่านั้น

หลังจากที่อินเดียต้องคร่ำเครงประคองค่าเงินแล้ว มาตรการล่าสุดที่ทำทั่วโลกช็อกกันไป โดยเฉพาะประเทศที่กินขนมปังทั้งหลายคือ อินเดียสั่งห้ามส่งออกข้าวสาลี โดยมีผลทันทีแล้ว สร้างความวิตกว่าจะผลักดันวิกตอาหารทั่วโลก โดยเฉพาะกับกลุ่มประเทศยากจนอย่างกว้างขวาง!!