สถานการณ์ล่าสุดของโลกเงินตราวันนี้ อัตราแลกเปลี่ยนเงินรูเบิลต่อดอลลาร์สหรัฐเมื่อวันที่ 4 พ.ค.คือ 66.9รูเบิ้ลต่อ 1 ดอลล่าร์สหรัฐฯ เป็นสัญญานบอกว่าในสงครามการเงิน วลาดิเมียร์ ปูตินชนะโจ ไบเดนชนิดไม่ต้องลุ้น
ขณะที่นักลงทุนทั้งหลายต้องขนหัวลุกกันไปกับสถานการณ์เศรษฐกิจของสหรัฐอเมริกา ที่ขาดดุลมากที่สุดในรอบ 22 ปี และการขึ้นดอกเบี้ยของ FED รอบนี้ถือเป็นการขึ้นดอกเบี้ยครั้งใหญ่ที่สุดในรอบ 22 ปี และประกาศพร้อมที่จะใช้นโยบายการเงินอย่างเข้มงวดที่สุดในรอบหลาย 10 ปีต่อไปเพราะรู้ชัดแล้วว่ากดเงินเฟ้อไม่ลงแน่ ท่ามกลางเสียงโวยวายของกูรูเศรษฐกิจสหรัฐเองว่าไม่พ้นสภาพเศรษฐกิจถดถอยอย่างแรงแน่ ในขณะที่ตลาดหุ้นสดใสรับการตัดสินใจของเฟด ก็แค่ภาพลวงตาระยะสั้นที่สวนกับเศรษฐกิจจริงของสหรัฐอย่างปิดเท่าไรก็ไม่อยู่
และความต้องการกลั่นแกล้งไม่ให้รัสเซียชำระหนี้ด้วยการคว่ำบาตรห้ามใช้ดอลลาร์ฯและยึดเงินทุนสำรองของรัสเซียที่ฝากไว้เป็นดอลลาร์ เพื่อจะได้เสียเครดิตต้องล้มเหลวอีก เมื่อรัสเซียสามารถหลีกเลี่ยงการผิดนัดชำระหนี้ในรอบ 100 ปีได้สำเร็จ หลังใช้เงินสกุลดอลลาร์ที่เก็บสำรองไว้ในประเทศชำระหนี้พันธบัตรมูลค่า 650 ล้านดอลลาร์ ได้ก่อนครบกำหนดเส้นตาย
วันที่ 4 พ.ค. 2565 สำนักข่าวบลูมเบิร์กและรัสเซียทูเดย์รายงานว่า นักลงทุน 3 รายที่ไม่ประสงค์ออกนาม เปิดเผยว่า พวกเขาได้รับการชำระหนี้ยูโรบอนด์ที่จะครบกำหนดในปี 2022 และ 2042 จากรัสเซียเป็นที่เรียบร้อยแล้ว
รัสเซียต้องเผชิญกับความเสี่ยงในการผิดนัดชำระหนี้หลังจากสหรัฐฯ และพันธมิตร ใช้มาตรการคว่ำบาตรทางการเงิน ยึดทรัพย์สิน และแช่แข็งเงินสำรองระหว่างประเทศของรัสเซีย เพื่อลงโทษรัสเซียจากปฏิบัติการทหารในยูเครน
ก่อนหน้านี้รัสเซียพยายามจะชำระหนี้เป็นเงินสกุลรูเบิล สามารถใช้ในกรณีบริษัทต่อบริษัท หรือธุรกิจเอกชน แต่ไม่ได้รับอนุญาตในกรณีที่เป็นหนี้พันธบัตร
แม้ว่ารัสเซียจะรอดพ้นจากการผิดนัดชำระหนี้ในครั้งนี้ แต่มาตรการคว่ำบาตรของสหรัฐฯ ก็ยังทำให้รัสเซียยังมีความเสี่ยงจะผิดนัดชำระหนี้พันธบัตรรัฐบาลอีกครั้งในวันที่ 25 พฤษภาคมที่จะถึงนี้
ริชาร์ด บริกก์ส ผู้จัดการการเงินของ GAM Holdings กล่าวว่า“รัสเซียจะเผชิญความเสี่ยงในการผิดนัดชำระอีกครั้งในวันที่ 25 พฤษภาคมนี้ ซึ่งหากกระทรวงการคลังของสหรัฐฯ ไม่ขยายเวลาให้รัสเซียจะไม่สามารถจ่ายหนี้ได้”
บริกก์สเชื่อว่า สหรัฐฯ อยู่ระหว่างชั่งน้ำหนักว่าจะยอมให้รัสเซียใช้เงินสกุลดอลลาร์ที่เก็บสำรองไว้ชำระหนี้อีกหรือบีบบังคับให้รัสเซียต้องผิดนัดชำระหนี้
จะอย่างไรก็ตาม เหตุการณ์ครั้งนี้ทำให้โลกได้เห็นว่า สหรัฐและพันธมิตรรวมทั้งองค์กรการเงินทั้งหลายที่อยู่ภายใต้การครอบงำของสหรัฐนั้น สามารถกลั่นแกล้งใครก็ได้ที่ไม่ยอมสยบในอำนาจ ทั้งๆที้รัสเซียมีเงินจ่ายแต่ไม่ยอมให้จ่าย อีกทั้งยังยึดเงินของรัสเซียแบบชนิดปล้นกลางแดดก็ได้ ยิ่งตอกย้ำกับนานาชาติทั่วโลกว่า มันได้เวลาเปลี่ยนแปลงระบบการเงินโลก ให้เป็นธรรมและเท่าเทียมอย่างแท้จริงแล้ว!!
แม้ว่าการผิดนัดชำระจะไม่ทำให้รัสเซียเปลี่ยนจุดยืน แต่จะทำให้รัสเซียกลายเป็นคนนอกคอกทางการเมืองและเศรษฐกิจในโลกตะวันตกส่วนใหญ่อย่างสมบูรณ์ มันจะเป็นสัญลักษณ์ในการต่อสู้ทางการเงินที่เกิดขึ้นตั้งแต่รัสเซียบุกยูเครน กระนั้นก็ไม่ระคายสถานะที่แท้จริงของรัสเซียในโลก เพราะพันธมิตรตะวันออกทั้งจีนและอินเดีย ตลอดจนกลุ่มอ่าวและตะวันออกกลาง ประกาศจุดยืนชัดว่าเคียงข้างรัสเซียแน่นอนในทางเศรษฐกิจ
มาดูคู่ปรับสหรัฐฯบ้าง รายงานจากเพจสาธารณะ World makerระบุว่าตัวเลขบอกชัด สหรัฐฯขาดดุลการค้าสูงสุดเป็นประวัติการณ์ติดลบถึง -18.9% หลังจากการนำเข้าสินค้าพุ่งขึ้นอย่างรวดเร็ว ผลการประชุม FED เป็นไปตามคาดทำให้ตลาดหุ้นเด้งรับในระยะสั้น แต่ยังมีเรื่องสยองรออยู่
ตัวเลขการขาดดุลการค้าของสหรัฐฯ พุ่งสู่ระดับสูงสุดเป็นประวัติการณ์อีกครั้งในเดือนมีนาคม ซึ่งสะท้อนถึงการนำเข้าสินค้าจากต่างประเทศที่เพิ่มขึ้น เนื่องจากบริษัทส่วนใหญ่ของสหรัฐฯ ต้องพึ่งพาผู้ผลิตต้นน้ำจากนอกประเทศเพื่อตอบสนอง Demand ภายในประเทศตัวเอง
ช่องว่างทางการค้า (นำเข้า-ส่งออก) เพิ่มขึ้นเป็น 22.3% ที่ระดับ 1.098 แสนล้านดอลลาร์ ซึ่งหมายความว่าสหรัฐฯ นำเข้ามากกว่าส่งออกราว 1 แสนล้านดอลลาร์นั่นเอ
ทั้งนี้ การขาดดุลการค้าที่พุ่งทำระดับออลไทม์ไฮ (All Time High) ใหม่นั้น เกิดขึ้นหลังจากสหรัฐฯ พึ่งประกาศ GDP หดตัว -1.4% ซึ่งเป็นเรื่องเหนือคาดการณ์ของตลาด
มูลค่าการนำเข้าสินค้า/บริการเพิ่มขึ้น 10.3% เป็น 3.515 แสนล้านดอลลาร์ ขณะที่การส่งออกสินค้า/บริการเพิ่มขึ้น 5.6% เป็น 2.417 แสนล้านดอลลาร์ ส่วนมูลค่าการนำเข้าสินค้าเพียงอย่างเดียว (ไม่รวมบริการ) เพิ่มขึ้น 12% สู่ระดับ 2.988 แสนล้านดอลลาร์
นั่นทำให้โดยรวมแล้วสหรัฐฯ ขาดดุลการค้าอยู่ -18.9% ที่ 1.378 แสนล้านดอลลาร์ และจุดที่น่าสนใจอีกอย่างคือมูลค่าการนำเข้าสินค้าปิโตรเลียมของสหรัฐฯ เพิ่มขึ้นถึง 2.48 หมื่นล้านดอลลาร์ ซึ่งเป็นตัวเลขสูงสุดนับตั้งแต่ปี 2014 จะซื้อจากใครเล่าถ้าไม่ใช่จากรัสเซีย เพื่อนำไปขายต่อให้ยุโรป ส่วนมูลค่าการนำเข้าสินค้าอุตสาหกรรมก็พุ่งสูงสุดนับตั้งแต่วิกฤตการเงินโลกในปี 2008
นั่นคือตัวเลขขาดดุลการค้าในภาพรวม นอกจากนี้สหรัฐยังจีดีพีร่วงถึง-14% ในขณะที่เงินเฟ้อสูงถึง 8.5% แม้เฟดจะปลอบในนักลงทุนว่า จะทำให้เงินเฟ้อเหลือแค่ 2% แต่ดูเหมือนจะยาก เพราะยอมรับเองว่าเงินเฟ้อพุ่งกระฉูดผิดคาด ทำให้อาจต้องเพิ่มการขึ้นดอกเบี้ยเร็วขึ้น และเพิ่มวงเงินQT อีกด้วย
คงต้องติดตามกันต่อไปว่า สหรัฐผู้นำการคว่ำบาตรและบริวารจะเจอกับพิษเศรษฐกิจระดับอภิมหาถดถอยแบบไหน? พยายามปิดบังอย่างไรก็ไม่มิดเพราะประชาชนจะออกมาประท้วงต่อต้าน ซึ่งหลายประเทศส่อเค้าให้เห็นแล้ว!!