ชำแหละ “ธนาธร” โหนม็อบบางกลอย ตะโกนลั่น Saveบางกลอย แต่ที่แท้ Saveตัวเอง เพราะกำลังจะเดินเข้าคุกคดีรุกป่า!?!
จากกรณีที่นายธนาธร ได้โผล่ร่วมม็อบบางกลอย ถือว่าเป็นคนตลบตะแลง ปลิ้นปล้อน หลอกลวง และสังคมไทยจำนวนหนึ่ง ยังไปเชื่อ ยังไปยกย่อง ยังไปยกให้กลายเป็นผู้นำ ซึ่งในความเป็นจริง คนๆนี้คือคนที่เป็นผู้บงการม็อบตัวจริง และเป็นตัวคอนโทรลสถานการณ์ทางการเมืองที่เป็นอยู่ทั้งหมดในตอนนี้ โดยมีแผงหลังอีกแผงหนึ่งที่คอยเชื่อมโยงกับเครือข่ายต่างประเทศและเครือข่ายของทักษิณ ชินวัตร วันนี้ พวกม็อบสามกีบ เร่งเร้าสถาการณ์จากการที่ตัวเองถูกจับกุมคุมขัง คิดว่าอยู่ในคุกแล้วจะปลุประชาชนคนไทย ให้ลุกขึ้นมาไปทลายคุกและมาโค่นล้มเปลี่ยนแปลงสังคมไทย ซึ่งเป็นเรื่องที่เพ้อฝันเพราะว่า ในสถานการณ์ที่เป็นจริงมันมีคนไทยจำนวนมากและมากกว่าพวกนี้ไม่รู้กี่ล้านเท่า ที่จะยืนหยัด ปกป้อง รักษารากเหง้า รากฐานของสังคมไทยที่มีสถาบันพระมหากษัตริย์เป็นจุดยึดโยง ไม่ได้หมายความว่าปกป้องสถาบันพระมหากษัตริย์เพียงอย่างเดียว ย้ำว่าสถาบันพระมหากษัตริย์ คือสัญลักษณ์แห่งการยึดโยงความเป็นสังคมไทยที่เป็นอยู่ในปัจจุบัน มีความหลากหลาย มีความรัก มีความเมตตาต่อกัน แต่สิ่งที่พวกนี้กำลังทำมันเป็นสิ่งที่กำลังทำลายทุกสิ่งทุกอย่างด้วยความอาฆาต พยาบาท โกรธแค้นชิงชัง ซึ่งวิถีอย่างนี้ มันไม่ได้เป็นวิถีที่จะนำพาสังคมไปสู่ความสงบสุข ยิ่งอ้างประชาธิปไตย ก็เหมือนเราเห็นสิ่งที่เป็นอยู่ในยุโรปและอเมริกา โดยเฉพาะในช่วงโควิด
วันนี้ธนาธร กำลังเกิดอาการหวาดกลัว เพราะขี้ขลาด ตัวเองเป็นคนประกาศชวนคนลงถนนเป็นคนแรกตั้งแต่วันที่ 14 ธันวาคม 2562 จนถึงวันนี้ ถ้าหากพวกนี้ทำสำเร็จจริงๆ ธนาธร จะกลายมาเป็นผู้นำประเทศ เพราะเขาเป็นสัญลักษณ์สำหรับคนเหล่านี้ ดูพฤติกรรมล่าสุด ที่ไปโผล่ม็อบบางกลอย ของชาวบ้านกะเหรี่ยงที่มีปัญหากับทางราชการในเรื่องที่อยู่อาศัย ซึ่งอยู่ในเขตป่าและมีข้อกฎหมายบังคับ ก็เกิดแรงกระทบกระทั่งกันมาอย่างยาวนาน บรรดา NGO บรรดาผู้คนทั้งหลาย ก็ต้องช่วยกันดูแล Saveบางกลอย พวกเดินทะลุฟ้า วันก่อนก็จะไปโหน เพราะตัวเองเคลื่อนไหวในเรื่องของการเมือง แต่บางกลอยเขาเคลื่อนไหวในเรื่องของวิถีชีวิตและความเป็นอยู่ ธนาธร ก็ไปโหนขึ้นปราศรัยบอกว่า คนกะเหรี่ยงบางกลอย เขาอยู่ในพื้นที่มานาน ก่อนที่จะมีกฎหมาย ก่อนที่จะมีอุทยานเสียอีก นั่นสะท้อนให้เห็นว่ารัฐบาลไม่เห็นคุณค่าของประชาชน ไม่เห็นหัวประชาชนและกฎหมายที่ความล้าหลัง เขาบอกว่า คนกับป่า อยู่ด้วยกันไม่ได้ แต่เราเชื่อว่าคนกับป่าอยู่ด้วยกันได้ ป่าใดที่มีชุมชนก็จะเป็นป่าที่ยั่งยืน ป่าใดที่ไม่มีชุมชนก็จะเป็นที่ไม่ยั่งยืน หลายคนถูกคุกคามถูกดำเนินคดีอย่างไม่เป็นธรรม จนต้องมาชุมนุมกันอยู่ในที่นี้ ซึ่งเป็นการประท้วงของคนที่มาด้วยความเดือดร้อน รู้สึกถึงความไม่เป็นธรรม
แน่นอนว่า ชาวบ้านเดือดร้อนจริง แต่หลักการอันสำคัญในการบังคับใช้กฎหมายในสังคมทั่วๆไป สาระสำคัญคือ บังคับใช้กับทุกคนแม้จะมีความพยายามพูดว่า คนรวยได้เปรียบคนจน แต่กฎหมายต้องบังคับใช้ทุกคน ถ้าชาวบ้านบางกลอย อยู่ในกรอบขอบเขตที่กฎหมายไม่อนุญาต ถ้าอนุญาตให้ชาวบ้านบางกลอย พวกนายทุนก็ไปบุกรุก เพราะฉะนั้น คำว่า รัฐบาลไม่เห็นคุณค่าของประชาชน ไม่เห็นหัวประชาชนและกฎหมายที่ความล้าหลัง ถ้าธนาธรมาเป็นผู้นำประเทศ เป็นนายกรัฐมนตรี ธนาธรจะไม่ดำเนินคดีกับคนพวกนี้หรอ เป็นไปไม่ได้ เพราะถ้าไม่ดำเนินคดีตัวเองก็มีความผิดมาตรา 157 เหมือนกับบรรดาเจ้าหน้าที่ป่าไม้ทั้งหลาย ที่จะต้องถูกดำเนินคดี การปราศรัยก็ลีลาแบบเดิม เป็นผู้นำชุมชน ก็ขอให้ทุกคนตะโกน Saveบางกลอย 3 ครั้ง จะSave ตัวเองสิไม่ว่า เพราะในปัญหาเรื่องป่าไม้เช่นเดียวกัน อย่าลืมว่า แม่ธนาธร พี่สาวธนาธร และธนาธรก็เป็นคนบุกรุกป่า
การบุกรุกป่าของตระกูลนี้ กับสิ่งที่ธนาธรไปสำรอกออกมา มันสวนทางกัน ถึงบอกว่าคนแบบนี้หรอจะกลายมาเป็นผู้นำสังคม คนแบบนี้หรอที่สังคมเชื่อถือ เรื่องเกิดขึ้นที่จังหวัดราชบุรี ครอบครัวธนาธรไปออกเอกสาร นส.3ก รวมทั้งสิ้น 60 ฉบับ ซึ่งไม่ถูกกฎหมาย รวมเป็นเนื้อที่ 2,154 ไร่ 3 งาน 82 ตารางวา แม่คือ คุณสมพร จึงรุ่งเรืองกิจ จำนวน 53 ฉบับ เป็นจำนวน 1,940 ไร่ 3 งาน 93 ตารางวา พี่สาว คุณชนาพรรณ จึงรุ่งเรืองกิจ จำนวน 5 ฉบับ เนื้อที่ 132 ไร่ 22 ตารางวา และตัวของธนาธร 2 ฉบับ เนื้อที่ 81 ไร่ 3 งาน 67 ตารางวา ทำผิดกฎหมายจะต้องถูกดำเนินคดี ทั้งทางอาญาและเรียกค่าเสียหายกับภาครัฐ ซึ่งตอนนี้คำนวณเบื้องต้น เป็นเงิน 147,063,223.15 บาท นี่คือสิ่งที่ครอบครัวจึงรุ่งเรืองกิจโดยผู้นำคือ แม่ของธนาธร พี่สาวและตัวธนาธรเอง เอารัดเอาเปรียบสังคม ทำอุตสาหกรรมจะไปครอบครองที่ดินทำไม ทำไมไม่เคยออกมาตอบสังคม เพราะความโลภ ความไม่พอ ความรวย เงินเยอะก็ไปซื้อเก็บไว้ สร้างความร่ำรวยให้กับตระกูลตัวเองให้ยิ่งใหญ่ขึ้น บอกว่ามีเงินแล้วไปซื้อได้อย่างนั้นหรอ ลองทบทวนกลับไปดูว่าตัวเองร่ำรวยเพราะมาอยู่ในแผ่นดินนี้ รากเหง้าของตัวเองเป็นอย่างไร เฉพาะคดีนี้ก็อ่วมแล้ว ป่าไม้มันสวนทางกับเรื่องของบางกลอยอย่างสิ้นเชิง
อ.ชูชาติ ศรีแสง อดีตผู้พิพากษาศาลฎีกา ออกมาเปิดเผยข้อมูลบอกว่า ได้มีการพบหลักฐานระหว่างเจ้าหน้าที่ที่ดินกับผู้ซื้อขาย มีการบันทึกถ้อยคำว่า ข้าพเจ้ารับทราบอยู่แล้วที่ดินดังกล่าวอยู่ในพื้นที่ป่าสงวนแห่งชาติ และอาจมีการเพิกถอนเอกสารสิทธิในวันข้างหน้า รู้ทั้งรู้แต่ยังยืนยันจะซื้อขายกัน มันชัดเจนว่าเจตนานี้ มาจากความโลภ มาจากความไม่พอ เข้าใจคำว่าพอเพียงหรือยัง ปากบอกว่าต่อสู้เพื่อประชาชน ต่อสู้เพื่อประเทศชาติ สู้เพื่อประชาธิปไตย จะเอาประชาธิปไตยมาทำไม ถ้าครอบครัวตัวเองยังเอารัดเอาเปรียบคนอื่น ครอบครัวตัวเองยังเอารัดเอาเปรียบแผ่นดิน ครอบครัวตัวเองยังทำผิดกฎหมายด้วยความโลภ
ความจริงสิ่งที่จะย้ำว่า คนนี้ ไม่ได้โดนเฉพาะเรื่องบุกรุกป่า คดีเดิม 2 คดียังค้างอยู่ ไม่รู้เจ้าหน้าที่ทำไปถึงไหนแล้ว แต่เป็นการค้างคาที่ปรากฎความผิดชัดเจน เรื่องแรกคือเรื่องที่ธนาธรถือหุ้นสื่อ วี-ลัค มีเดีย และยังไปสมัครรับเลือกตั้ง พระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร มาตรา 42 (3) บุคคลผู้มีลักษณะดังต่อไปนี้ เป็นบุคคลต้องห้ามมิให้ใช้สิทธิสมัครรับเลือกตั้งเป็นสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร (3) บอกว่า เป็นเจ้าของผู้ถือหุ้นใจกิจการหนังสือพิมพ์หรือสื่อมวลชนใดๆ ธนาธร ถือหุ้นสื่อวีลัค-มีเดีย อยู่ รู้ว่าผิดแต่ก็ยังมาสมัครรับเลือกตั้ง พอจับได้ปรากฎว่า ได้มีการพยายามแถ อ้างหลักฐานสารพัด แต่ถูกจับได้ทุกประเด็นว่า สิ่งที่พยายามทำนั้นคือการบิดเบือน แก้ไขข้อมูลเพื่อให้เห็นว่าตัวเองถูกต้อง ท้ายที่สุด ถูกตัดสิทธิทางการเมือง แต่คดียังไม่ได้จบ เพราะมันมีโทษทางอาญาด้วย ในพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร มาตรา 151 บัญญัติเอาไว้ว่า ผู้ใดรู้อยู่แล้วว่าไม่มีสิทธิแล้วยังสมัครรับเลือกตั้ง เนื่องจากขาดคุณสมบัติ หรือมีลักษณะต้องห้ามมิให้ใช้สิทธิสมัครรับเลือกตั้งเป็นสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร ได้สมัครรับเลือกตั้งหรือทำหนังสือยินยอมให้พรรคการเมืองเสนอรายชื่อเพื่อสมัครรับเลือกตั้งแบบบัญชีรายชื่อ ต้องระวางโทษจำคุกตั้งแต่ 1-10 ปี อยู่ที่เจตนาที่จะกระทำความผิด เพราะฉะนั้น มีสิทธิจะติดคุกเรื่องนี้ได้ 1-10 ปี นี่เป็นคดีหนึ่งที่ค้างคาอยู่ และต้องถาม กกต.ว่า อัยการ ขั้นตอนอยู่ที่ใคร เป็นอย่างไร เพราะศาลวินิจฉัยชัดเจนแล้วว่า ธนาธร ขาดคุณสมบัติที่จะสมัครรับเลือกตั้งและรู้อยู่แล้ว เมื่อถูกตัดสิทธิทางการเมือง หลุดจากการเป็น ส.ส. ไปแล้ว คดีอาญาก็ต้องดำเนินต่อ ธนาธรรู้ดีอยู่แก่ใจ
นอกจากนี้ ยังมีอีก 1 คดี ก็คือ คดีให้กู้ยืมเงินกับพรรคอนาคตใหม่ ชัดเจนว่า ผิดกฎหมาย คดีนี้ผิดตามพระราชบัญญัติ ประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยพรรคการเมืองมาตรา 66 ระบุว่า บุคคลใดจะบริจาคเงิน ทรัพย์สิน หรือ ประโยชน์อื่นใด ให้แก่พรรคการเมืองมีมูลค่าเกิน 10 ล้านบาทต่อพรรคการเมืองต่อปีมิได้ ซึ่งตอนนั้น ธนาธรบอกว่า ผมให้กู้เงิน ไม่ได้บริจาค แต่ย้ำว่า กฎหมายพรรคการเมือง มันชัดเจนอยู่ในตัวว่า มันไม่ใช่เป็นนิติบุคคลปกติธรรมดา ที่จะทำธุรกิจ ทำธุรกรรม จะกู้เงิน ยืมเงินไม่ได้ เพราะถ้ากู้เงินยืมเงิน ชัดเจนว่า นายทุนก็มาให้กู้เงิน และถ้าพรรคการเมืองนั้น เป็นรัฐบาลได้ดูแลกระทรวงต่างๆ ที่มีผลประโยชน์ทางงบประมาณมหาศาล ก็ต้องตอบแทนให้กับนายทุนที่ให้ตัวเองกู้เงิน เพราะติดหนี้บุญคุณกัน กฎหมายห้ามไว้ชัด ซึ่งมาตรา 62 เขาถึงไประบุที่มาของรายได้ว่า พรรคการเมืองอาจมีรายได้ มี 7ข้อ แต่ (5) เงิน ทรัพย์สิน และประโยชน์อื่นใดที่ได้จากการรับบริจาค ไม่มีการให้กู้ให้ยืม เพราะฉะนั้น การให้กู้ของนายธนาธร ก็คือการบริจาคนั่นเอง ซึ่งกฎหมายกำหนดไว้ 10 ล้าน แต่นี่หลายร้อยล้าน จึงเป็นความผิด นั่นคือความผิดที่มีต่อตัวธนาธร ในฐานะผู้บริจาค ในฐานะผู้รับบริจาค ก็มีความผิดอีก เพราะตอนนั้นเป็นหัวหน้าพรรคอยู่ มาตรา 66 วรรคสอง เขียนไว้ว่า พรรคการเมืองจะรับบริจาคเงิน ทรัพย์สิน หรือประโยชน์อื่นใดซึ่งมีมูลค่าเกินวรรคหนึ่งมิได้ นั่นก็คือ 10 ล้านบาท
และเพื่อการเขียนกฎหมายให้รัดกุม มาตรา 72 จึงเขียนไว้ว่า ห้ามมิให้พรรคการเมืองและผู้ดํารงตําแหน่งในพรรคการเมืองรับบริจาคเงิน ทรัพย์สิน หรือประโยชน์อื่นใด โดยรู้หรือควรจะรู้ว่าได้มาโดยไม่ชอบด้วยกฎหมายหรือมีเหตุอันควรสงสัยว่า มีแหล่งที่มาโดยไม่ชอบด้วยกฎหมาย เงินที่ให้กู้ยืม พรรคการเมืองควรรู้ว่า ไม่ชอบด้วยกฎหมาย เพราะกฎหมายไม่ให้มีการกู้ยืม บริจาคได้ไม่เกิด 10 ล้าน ที่ทวนมาตรา 66 และมาตรา 72 ให้เห็นก็เพราะว่า ความผิดทั้งสองมาตรานี้ มีโทษจำคุก ความผิดในการกระทำความผิด ตามมาตรา 66 ไปเขียนไว้ในมาตรา 124 ใครที่ไม่ปฎิบัติตามมาตรา 66 วรรคหนึ่ง ต้องระวางโทษจําคุกไม่เกิน 5 ปี นี่อีก 5 ปี สำหรับธนาธร ไม่เพียงเท่านั้น มาตรา 126 ผู้ดํารงตําแหน่งในพรรคการเมืองผู้ใดฝ่าฝืนมาตรา 72 ต้องระวางโทษจําคุกไม่เกิน 3 ปี นี่คือเวรกรรมที่ธนาธร ทำไว้ กำลังจะส่งผล ดังนั้น ไม่มีใครแกล้งใคร ในการกระทำความผิดกฎหมาย เมื่อเข้าเกณฑ์ ผิดตามที่กฎหมายบัญญัติไว้ ใครๆก็หลีกเลี่ยงไม่ได้ แต่สิ่งที่พวกนี้กำลังทำอยู่ ก็คือ ไม่ใช่เอากฎหมู่มาอยู่เหนือกฎหมาย แต่ต้องการที่จะล้มล้าง เปลี่ยนแปลงสังคม เพื่อที่จะให้เกิดการพลิกกลับ ความผิดของตัวเองก็จะหายไป เพราะตัวเองกลายมาเป็นผู้มีอำนาจ แต่คนแบบนี้ หรือคนกลุ่มนี้ มีคุณสมบัติเพียงพอหรอที่จะมาเป็นผู้นำประเทศ ที่จะนำพาประเทศเราให้เดินไปข้างหน้าด้วยความสุขสงบ ซื่อวัตย์ สุจริต เมื่อตัวเองเป็นเช่นนี้