“แอมมี่-ลูกไม้” เหยื่อจอมบงการม็อบ หลงภาคภูมิใจที่ได้ยึดมั่นในอุดมการณ์ปลอมๆ!?!

0

ถือว่าเป็นเรื่องที่บาดหัวใจคนไทยทั้งประเทศ กรณีเผาพระบรมฉายาลักษณ์พระบาทสมเด็จพระเจ้อยู่หัวฯ ของแอมมี่ หรือนายไชยอมร แก้ววิบูลย์พันธุ์ นักร้องชื่อดัง

ที่วันนี้เจ้าหน้าที่ตำรวจ สามารถจับกุมตัวแอมมี่ได้แล้ว สะท้อนภาพของสังคมที่มีขบวนการปฏิวัติประชาชนกำลังขับเคลื่อนและสร้างกระแสของสังคมเข้าสู่การปฏิวัติผ่านดารา นักร้อง และเอาดารา นักร้อง มาเป็นเหยื่อ เพื่อให้เกิดแรงช็อคต่อสังคม ให้เกิดแรงเหวี่ยงให้คนรู้สึกคับแค้นใจ และเข้าร่วมขบวนการปฏิวัติมากยิ่งขึ้น

การกระทำแบบนี้ ถ้าเป็นยุคสมัยก่อน ก็คือการแบกศพของผู้ชุมนุมแล้วตะโกนว่า วีรชน ในเหตุการณ์ก่อนๆที่ผ่านมา บุคคลที่ลงไปต่อสู้บนท้องถนน และถูกเข่นฆ่าจากอำนาจของเจ้าหน้าที่รัฐ เป็นวีรชนจริงๆ เพราะไปด้วยหัวใจที่ต่อสู้กับเผด็จการที่เห็นได้อย่างชัดเจนว่า คุมอำนาจแล้วกดขี่ประชาชน แสวงหาประโยชน์ใส่ตัว แต่สถานการณ์ปัจจุบันไม่ใช่ มีความพยายาามจะทำเมื่อปี พ.ศ. 2553 ในการชุมนุมของคนเสื้อแดง โดยมีกลุ่มเล็กๆกลุ่มหนึ่ง แฝงตัวอยู่ในนามของชายชุดดำ ที่รับคำสั่งจากผู้บงการโดยตรง เข่นฆ่าประชาชนและโยนความผิดให้เจ้าาหน้าทีรัฐ พร้อมๆทั้งการฆ่าเจ้าหน้าที่รัฐอย่างจงใจ โดยการโยนระเบิดใส่ และทำให้พล.อ.ร่มเกล้า ธุวธรรม เสียชีวิต พร้อมด้วยนายทหารคนอื่นๆ แต่สถานการณ์ก็ไม่สามารถที่จะลุกลามต่อไปได้ ปัจจุบัน ยุคสมัยกำลังเปลี่ยน คนหนุ่มสาวกำลังตื่นตัว จะตื่นด้วยข้อมูลที่เป็นจริงหรือข้อมูลที่บิดเบือน ซึ่งก็ยืนยันมาโดยตลอดว่า ตื่นตัวด้วยข้อมูลที่บิดเบือน ซึ่งเป็นเรื่องที่น่าเสียดายอย่างยิ่ง

กรณีของแอมมี่ ก็เช่นเดียวกัน แอมมี่อาจจะไม่รู้สึกตัว และยังยืนยันด้วยความภาคภูมิใจในสิ่งที่ตัวเองทำ แต่ขอให้เชื่อเถอะว่า แอมมี่เป็นเหยื่อ วันนี้เด็กๆยังไม่รู้สึกตัว แต่ให้รู้เถอะว่า เป็นเหยื่อ พ่อแม่ทุกคน ไม่ว่าพ่อแม่เพนกวิน พ่อแม่แอมมี่ ที่พยายามออกมาประกันตัวลูก แล้วร้องขอความเห็นใจต่อสังคม หลายเสียงบอกว่า ทำไมไม่สั่งสอนลูกให้ดี เราไม่สามารถจะชี้นำความคิดลูกได้หมด แต่ภายใต้กรอบแห่งคุณธรรม กรอบแห่งความรับผิดชอบต่อสังคม กรอบแห่งความดี ซึ่งสามารถวัดได้จากความรู้สึกที่มีต่อกันด้วยความเมตตา นั่นจะนำพาให้คนไม่ก้าวร้าว ไม่นำพาไปสู่อารมณ์โมโห กระทำการด้วยความรุนแรงเพื่อไปส่ความแตกหัก

กรณีของแอมมี่ จะทบทวนให้ดูว่า ตกเป็นเหยื่อของผู้บงการอย่างไร ย้ำให้ฟังว่า ธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ ต้องย้อนรอย 14 ธันวาคม 2562 ธนาธรเป็นคนประกาศ เอาประชาชนลงถนนเป็นคนแรก ที่สกายวอล์ค หลังจากที่ศาลรัฐธรรมนูญกำลังพิจารณาว่า จะยุบพรรคอนาคตใหม่หรือไม่ สิ่งที่ธนาธรทำ เพื่อประโยชน์ส่วนตัว เพื่อการเดินเข้าสู่การมีอำนาจในทางการเมือง ธนาธรจะอ้างว่าการมีอำนาจนั้น จะทำเพื่อประโยชน์แก่ประชาชนด้วยการไปต่อรองกับพระมหากษัตริย์ ซึ่งดูแล้วไม่สมเหตุสมผล แต่บทสรุปก็คือ การเข้าสู่อำนาจ และไม่ว่าใครก็ตามแต่ เมื่อเดินเข้าสู่อำนาจอยู่ที่ปลายสุด มักจะเหลิงอำนาจและท้ายที่สุด นำพาสังคมไปสู่หายนะมากมาย เราเห็นกันมาเยอะ เริ่มต้นเป็นวีรบุรุษ ท้ายที่สุดกลายเป็นทรราช ธนาธร อยู่ในเกณฑ์นี้หรือไม่ ก็พิจารณาเอาเอง

วันนี้ การจุดประกายผ่านโลกนิวมีเดีย หยิบเอาดาราบางคนที่เชื่อในข้อมูลที่ได้รับ และกระโจนเข้าสู่สถานการณ์ แอมมี่คือตัวอย่างชัดเจน ก่อนหน้านี้ 6 เดือน มีคนรู้จักแอมมี่ตามแนวดนตรีที่เขานำเสนอ แต่เมื่อวันที่ 28 สิงหาคม 2563 เมื่อเขากระโดดมาอยู่กลางม็อบและสาดสีใส่ตำรวจ ชื่อของแอมมี่ก็ปรากฎในยุทธจักรนักเคลื่อนไหวต่อสู้เพื่อประชาชน ข้ออ้างจะบอกว่าตำรวจสาดสี ป้ายข้อหาให้กับประชาชน จึงสาดสีกลับไม่ได้หรอก เพราะกฎหมายมีกฎมีเกณฑ์ ประชาธิปไตยไม่ใช่ว่าใครสามารถทำอะไรตามใจตัวเองได้ ต่อมาแอมมี่ก็ยกระดับการเคลื่อนไหวของตัวเองขึ้น ซึ่งทำให้จอมบงการอยู่เบื้องหลังกระหยิ่มยิ้มย่อง นั่นก็คือ ยกระดับขึ้นโจมตีสถาบันด้วยการไปถ่ายรูปกับทราย เจริญปุระ ล้อเลียนการทรงงานของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวฯ รัชกาลที่ 9 เป็นภาพที่หลายคนคงเคยเห็นมาแล้ว จะเห็นชัดว่าทั้งทรายและแอมมี่ ตั้งใจในการที่ล้อเลียน แอมมี่โกรธที่เจ้าหน้าที่ตำรวจออกหมายเรียกในข้อหาที่เขากระทำมา เขาให้สัมภาษณ์สื่อมวลชนอย่างภาคภูมิใจว่า ผมเป็นตัวอย่างของคนที่มีต้นทุนในสังคม มีชื่อเสียง มีเงินทอง ถ้าออกมาเป็นปากเป็นเสียงช่วยน้องๆก็ยินดี นี่เป็นความคิดของเราและของหลายๆคน

ชัดเจนว่า แอมมี่ได้ตกเป็นเหยื่ออย่างสมบูรณ์แบบแล้ว คิดว่าการต่อสู้นี้น่าภาคภูมิใจ ที่บอกว่าเป็นเหยื่อและเปรียบเทียบประสบการณ์ มันรู้สึกภาคภูมิใจในสิ่งที่ได้ทำ และการกระทำนั้นยกระดับขึ้นเรื่อยๆ แต่เป็นการยกระดับที่ไปในทางที่เลวร้าย เมื่อถูกถามต่อว่า กลัวเข้าคุกไหม เพราะตอนที่แอมมี่ถูกจับก็ไปสงบสติอารมณ์รอประกันตัวอยู่ในคุก ก็บอกว่า ไม่กลัวครับ ผมคุยกับอานนท์ กับไผ่ว่า ถ้าต้องเสียอิสรภาพอีกรอบ แต่รักษาอุดมการณ์ไว้ได้ ผมก็ยินดี นี่คือแอมมี่ ดังนั้น กรณีล้อเลียนพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวฯ รัชกาลที่ 9 ก็เป็นอีกหนึ่งคดี แต่ที่สุด แอมมี่ก็ไม่หยุดเพียงเท่านี้ ต่อมาเมื่อวันที่ 17 กุมภาพันธ์ เมื่อจะต้องมาร่วมรับฟังคำสั่งฟ้องคดีชุมนุม 19 กันยายน ในมาตรา 112 มาตรา 116 และมาตรา 215 กับพรรคพวกของเขา อีก 18 คน แอมมี่ก็ถอดเสื้อนอนบนเตียงพยาบาล แล้วก็โพสต์ข้อความว่า ที่ผ่านมาป่วยเป็นเป็นโรคกระจกตาโป่งพอง แต่ไม่อยากจะพูดเรื่องนี้ เพราะเกรงว่าคนที่ไม่เห็นด้วยกับตนจะมาซ้ำเติมว่า เป็นเพราะตนล้อเลียนในหลวงรัชกาลที่ 9 ย้ำว่า กรรมมีจริง พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวฯ รัชกาลที่ 9 เป็นผู้ทรงมีพระบารมีจากพระราชหฤทัยที่มีแต่ความบริสุทธิ์ รัก ห่วงใยประชาชน และทุ่มเททุกสิ่งทุกอย่างเพื่อประชาชน การก่อกรรมกับผู้ที่มีจิตใจบริสุทธิ์ แน่นอนว่า ผลกรรมย่อมจะสะท้อนอย่างรุนแรง

และแล้วอีก 10 วันต่อมา แอมมี่จึงได้ก่อเหตุอันรุนแรง สะเทือนใจคนไทยทั้งชาติ นั่นคือ การเผาพระบรมฉายาลักษณ์พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวฯ มันเป็นแรงเหวี่ยงสองด้าน ตัวแอมมี่จะต้องได้รับผลเรื่องนี้อย่างหนักหน่วงแน่นอน ข้อหาวางเพลิง ข้อหากระทำความผิดตามมาตรา 112 และอีกด้านหนึ่งก็คือความรู้สึกเกลียดชังที่เกิดขึ้นในใจคนไทย ทั้งสองฝั่งและสองฝ่าย ซึ่งเข้าทางโจร เข้าทางจอมบงการทันที เพราะคดีนี้จะกลายมาเป็นประเด็นทางสังคม ที่ฝ่ายจอมบงการซึ่งมีกองทัพอยู่ในโลกโซเชียลจะขยายความ สิ่งแรกคือ การเปิดประเด็นมาว่า มีเยาวชนคนหนึ่งไปขับรถให้กับแอมมี่ ไม่รู้เรื่องรู้ราว คำว่าเยาวชน อายุยังไม่ถึง 18 ไม่ได้รับการเปิดเผยชื่อ แต่รู้จักกันดีในนาม ภูมิ หัวลำโพง จากการตรวจสอบเป็นเด็กที่เข้าร่วมเคลื่อนไหวกับขบวนการนี้มาตั้งแต่ต้น คือคนที่เอาคีบไปฟาดตำรวจในการชุมนุมที่ราชประสงค์

ไม่เพียงเท่านั้น นายคนนี้ก็คือคนที่แขวนป้ายผ้าต่อต้านมาตรา 112 ตามสะพานลอยต่างๆ วันนี้มาขับรถให้กับแอมมี่และบอกว่า ไม่รู้เรื่อง เขาชวนมาเลยมากับเขาด้วย และไม่ได้ลงไปร่วม เป็นไปไม่ได้เพราะระดับการเคลื่อนไหวที่รุนแรงมาโดยตลอดและการที่จะมาร่วมในครั้งนี้ ไม่รู้เรื่องรู้ราว เป็นไปไม่ได้ มีส่วนร่วมกันอย่างแน่นอน แต่แอมมี่ ก็แสดงความเป็นลูกผู้ชายนั่นก็คือ บอกว่าตัวเองทำคนเดียว คนอื่นที่ไปด้วยไม่รู้ไม่เห็น ไม่เกี่ยวข้อง แต่กฎหมายดูเจตนาเป็นที่ตั้ง เพราะคนที่ไปร่วมอีกคนหนึ่งก็คือ น้องลูกไม้ ญาณิศา ซึ่งบอกว่า เป็นเพื่อนสาวของแอมมี่

สำหรับลูกไม้ ญาณิศา วรารักษพงศ์ เป็นนิสิตคณะรัฐศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ประวัติไม่ธรรมดา จบมัธยมปลายจากโรงเรียนเตรียมอุดม เป็นคนก่อตั้ง “เกียมอุดมไม่ก้มหัวให้เผด็จการ” นั่นแสดงว่าอยู่ในระดับแกนนำมาโดยตลอด แสดงจุดยืนเคลื่อนไหว รับข้อมูลผ่านโลกโซเชียลจากกระบวนการของจอมบงการ สำหรับลูกไม้ ไม่ธรรมดา ระบบความคิดในการจัดตั้งเรียกว่าไปสู่จุดจะสูงสุดในการที่จะก่อสงครามประชาชน เพราะความคิดในเชิงอุดมการณ์ เธอได้เคยแสดงความเห็นตอนที่ไปเสวนาเรื่องรัฐประหาร 19 กันยายน 2549 กับการเมืองไทยร่วมสมัย เธอระบุเนื้อหาไว้ว่า ถ้าเปลี่ยนระบบและค่านิยมที่สร้างสังคมขึ้นมาอย่างไม่เท่าเทียม ตัวผู้เล่นจะเปลี่ยนไปเอง หากเปลี่ยนแปลงเพียงแค่ผู้มีอำนาจ จะหนีไม่พ้นมีผู้เล่นหน้าใหม่เกิดขึ้นภายใต้ระบบและวิธีคิดแบบเดิมทหารเทคโนแครต หรือ นายทุน จะมีคนใหม่ๆขึ้นมา ต้องเปลี่ยนระบบ ไล่ได้ตั้งแต่ระบบข้าราชการรวมศูนย์ ระบบยุติธรรม ตุลาการ แม้กระทั่งค่านิยมของคน และมองว่าต้องเปลี่ยนเกม เช่น 3 ข้อเรียกร้อง หยุดคุกคามประชาชน แก้รัฐธรรมนูญ ยุบสภา ซึ่งเป็นการเปลี่ยนเกม

ความหมายที่เธอพูด นั่นหมายความว่า ต้องเปลี่ยนระบบของสังคม ไม่ใช่ต่อสู้กันแค่ตัวบุคคล ดังนั้น ที่แอมมี่มาบอกว่า คนที่ไปด้วยไม่รู้เรื่อง ยอมรับความเป็นลูกผู้ชายคนเดียว ก็ดูท่าทีจะเป็นลูกผู้ชายอยู่ แต่แอมมี่เคยมีครอบครัวมาแล้ว มีลูกมาแล้ว ครั้งนี้ปกป้องคนรักของตัวเองได้ แต่ทางกฎหมายไม่ได้ เพราะต้องดูเจตนา ดูพฤติกรรมทั้งหมดแล้ว ดูท่าว่าน่าจะรอดยาก วันนี้แอมมี่และเพื่อนร่วมชะตากรรมจะต้องรับผลการกระทำของตัวเอง ภายใต้กรอบของกฎหมาย แน่นอนว่า บรรดาผู้บงการ พวกเสี้ยม พวกยุทั้งหลาย บอกว่า นี่ไม่ใช่เป็นการกระทำความผิดหรอก ไปยกตัวอย่างของต่างประเทศว่า เคยมีการเผาพระบรมฉายาลักษณ์ฆวน การ์ลอสที่ 1 และพระราชินีโซเฟียของสเปน ศาลสิทธิมนุษยชนยุโรป ตัดสินเมื่อวันที่ 13 มี.ค. 2561 ว่าไม่ผิด ก็ว่ากันไป กฎหมายประเทศไหนต้องเป็นประเทศนั้น พวกยุ พวกที่เป็นอีแอบอยู่ข้างหลัง มันท้ากันจนเหนื่อย แต่จะบอกกลับไปที่แอมมี่ว่า พวกที่บอกว่าไม่ผิด มึงไม่ออกมาเผาเอง ปิยบุตร