อ.สุวินัย เผยจุดจบแอมมี่-ลูกไม้ ชำแหละ กระบวนการ “โอ้อวดตัวตน”ของคนรุ่นใหม่ เป็นดาบสองคม ติดคุก หมดอนาคต!?!
จากกรณีการวางเพลิงเผาทรัพย์ หน้าเรือนจำกลางคลองเปรม ว่า จากการสืบสวนของตำรวจร่วมกับกรมราชทัณฑ์ ตอนนี้ทราบว่ามีผู้ก่อเหตุ 3 ราย ชาย 2 หญิง 1 ใช้รถยนต์ในการก่อเหตุ ต่อมา พล.ต.ท.ภัคพงศ์ พงษ์เภตรา ผู้บัญชาการตำรวจนครบาล (ผบช.น.) ได้แถลงการณ์กรณีจับกุม นายไชยอมร แก้วพิบูลย์ หรือ แอมมี่ เดอะบอททอมบลูส์ นักร้องชื่อดังและแกนนำกลุ่มราษฎร ตามหมายจับ ที่ 429/2564 ลงวันที่ 2 มี.ค.2564 ข้อหาประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 112, วางเพลิงเผาทรัพย์ผู้อื่น และ ความผิดตาม พ.ร.บ.คอมพิวเตอร์ ที่ก่อเหตุเผาพระบรมฉายาลักษณ์ ที่หน้าเรือนจำคลองเปรม ถนนงามวงษ์วาน เหตุเกิดเมื่อช่วงดึกวันที่ 28 ก.พ.ที่ผ่านมา

ต่อมาได้มีการเผยแพร่วิดีโอคลิปภาพกล้องวงจรปิด ซึ่งปรากฎภาพชายคนหนึ่ง ลักษณะท่าทางคลายแอมมี่ ตกจากนั่งร้านพระบรมฉายาลักษณ์ และอีกคลิปวิดีโอหนึ่ง ปรากฎภาพชาย 2 คนและผู้หญิง 1 คน โดยหนึ่งในนั้นลักษณะคล้ายแอมมี่ ที่บริเวณหน้าพระบรมฉายาลักษณ์ที่ถูกเผา
ได้มีความคืบหน้าจากการปฏิบัติหน้าที่ในการติดตามคดีของเจ้าหน้าที่ตำรวจ โดยเมื่อกลางดึกของเมื่อคืนที่ผ่านมา ทางเจ้าหน้าที่ตำรวจได้เชิญตัว เพื่อนสาวคนสนิทของนายแอมมี่ มาสอบสวน ซึ่งกำลังอยู่ในระหว่างการเดินทางไปต่างประเทศในวันนี้ ซึ่งอยู่ที่สนามบินสุวรรณภูมิทางเจ้าหน้าที่ได้เชิญตัวมาสอบสวนเสียก่อนเลยจึงยังไม่ได้เดินทางไปต่างประเทศ

ล่าสุด ทางด้าน รศ.ดร.สุวินัย ภรณวลัย ประธานยุทธศาสตร์วิชาการ สถาบันทิศทางไทย ได้โพสต์ข้อความถึงกรณีของแอมมี่และลูกไม้ โดยระบุข้อความว่า
จุดจบของการโอ้อวดตัวตนในยุค Dataism : เคสของแอมมี่กับลูกไม้ / สุวินัย ภรณวลัย
ขณะนี้โลกเข้าสู่ยุค Dataism อย่างชัดเจนแล้ว ใครไม่เข้าใจลักษณะเฉพาะของยุค Dataism ที่แตกต่างจากยุค Capitalism (ยุคทุนนิยม) ค่อนข้างมาก โดยเฉพาะในเรื่อง “ความบิดเบี้ยวในการรับรู้ผิดๆของตัวตน” … คนผู้นั้นมีโอกาสเข้ารกเข้าพง หมดอนาคต กลายเป็นสวะทางประวัติศาสตร์อย่างแน่นอน
ขณะที่ในยุคทุนนิยม ลักษณะพิเศษของมันคือการทำให้ทุกอย่างกลายเป็น “สินค้า” ไม่ว่าเรือนร่าง ความรัก sex ฯลฯ ล้วนกลายเป็น “สินค้า”หมด … นี่คือการลดทอนความเป็นมนุษย์ (alienation)ของยุคทุนนิยม แต่ในยุคอรุณรุ่งของข้อมูลนิยม ( rise of dataism) อย่างยุคปัจจุบัน นอกจากกระบวนการทำให้ทุกอย่างกลายเป็นสินค้ายังคงดำรงอยู่อย่างเข้มข้นแล้ว
พัฒนาการของเทคโนโลยีสื่อสารโดยเฉพาสมาร์ทโฟนและแพลทฟอร์มโซเชียลมีเดียทุกชนิด ยังทำให้ “การโอ้อวดตัวตน”(self expression) กลายเป็นทางลัดที่สุดในการโด่งดังชั่วข้ามคืนและสร้างความร่ำรวยอย่างรวดเร็ว โดยไม่ต้องผ่านเอเย่นต์หรือคนกลางใดๆเหมือนในยุคทุนนิยม
แต่กระบวนการ “โอ้อวดตัวตน”ของคนรุ่นใหม่ มันเป็นดาบสองคม โดยเฉพาะเมื่อเป็นการเคลื่อนไหวทางการเมืองแบบสุดโต่ง เพราะมันจะเกิดกระบวนการ “บิดเบี้ยวในการรับรู้ผิดๆของตัวตน” โดยไม่รู้ตัว เพราะเจ้าตัวเริ่มพร่ามัวในการรับรู้ จนไม่สามารถแยกแยะความแตกต่างระหว่าง “ความเป็นจริงในโลกโซเชียล” กับ “ความเป็นจริงในโลกจริง” … ที่เจ็บจริง และติดคุกจริงได้
เคสของลูกไม้ ญาณิศา คือตัวอย่างอันเป็นรูปธรรมล่าสุดเท่านั้นว่า คนรุ่นใหม่จำนวนไม่น้อยไม่สามารถแยกแยะความแตกต่างระหว่าง “ความเป็นจริงในโลกโซเชียล” กับ “ความเป็นจริงในโลกจริง” …ที่เจ็บจริง และติดคุกจริงได้ … เคสก่อนหน้าลูกไม้ ญาณิศา ก็คือ เคสของน้องมายด์ จะว่าไปแล้วยังมีเคสแบบนี้อีกเป็นจำนวนมาก เพราะรับผลกระทบเชิงลบเต็มๆแบบไม่รู้ทันจากยุค Dataism นั่นเอง
ส่วนผู้ใหญ่ที่มีวุฒิภาวะทางอารมณ์และความคิด ย่อมรับมือกับเรื่องแบบนี้ได้ดีกว่าคนรุ่นใหม่ เพราะสามารถยืนอยู่กับความเป็นจริงในโลกจริงได้ ผมขอยกตัวอย่างทัศนะหมอชเนษฎ์ ศรีสุโข มาเปรียบเทียบให้ดูก็แล้วกัน คุณหมอบอกว่า …
“พวกที่บอกว่าดาราเผาพระบรมเป็นฮีโร่ แนะนำให้ถือไฟแช็คคนละอัน เดินไปหาภาพในสถานที่ราชการที่คุณไม่ชอบ ชูสามนิ้วไปด้วยตอนเผา ทำกันให้พร้อมกันทั่วประเทศไปเลยนะครับ ตะโกนด่าสังคม ด่าสถาบันไปด้วยเลย เจ้าหน้าที่ตำรวจจะได้จัดการง่ายขึ้น เผื่อโมเดลคุกบาสตีย์ของพวกแกนนำหัวฝรั่งเศสจะได้กำเนิดไวๆ ดุจฝัน
อย่าดีแต่พูดแถ พยายามทำสิ่งที่ผิดกฎหมายให้เป็นเรื่องที่ถูกต้อง คดีเผาศาลากลางสมัยก่อนก็มีในประวัติศาสตร์ ใช้สมองบ้าง หากสมองไม่มีจะก้อปปี้วาทกรรมพวกฉลาดจนต้องหนีคดีอยู่ต่างประเทศก็ดีครับ ล้มเหลวในโลกความจริง ยิ่งใหญ่ในโซเชียล เปรี้ยวไปทั่ว เจอโลกความจริงก็แหย
ที่ผ่านมาโซเชียลเต็มไปด้วยเสียงดังของพวกคุณ แต่เอาเข้าจริง ตอนนี้คนเอาด้วยเหลือสักเท่าไร ผมนั่งอดทนฟังมานาน ประเมินแล้ว หลักแสน ที่เหลือเขาเป็นคนธรรมดาที่เอาระบอบ เอาสถาบัน เอาสังคมที่สงบ ไม่ชิงชังชาติ ไม่ถ่มถุยด่าโคตรเหง้าตนเอง และ สำนึกในพระคุณสถาบัน บรรพบุรุษ ที่ล้มตายกันมาทุกฝ่ายเพื่อให้เรามีกิน มีชีวิตดี ในวันนี้ และเขาก็ต้องทำมาหากินไม่ได้มารอรับโครงการรัฐที่มีมากมายเพียงอย่างเดียว คะแนนเลือกตั้ง อบจ. สะท้อนชัด เร็วๆนี้เลือกตั้งเทศบาลก็คงสะท้อนไม่ต่างกัน

ตอนนี้ผมว่า แม้ไม่ยุ่งการเมือง แต่คนเราจะต้องมีจุดยืนชัด บางคนบอกว่าประเทศชาติมีปัญหาเหลือเกิน ผมว่าปัญหาหลักของชาติในปัจจุบัน เป็นพวกคนบางกลุ่มเองนี่แหละ ที่สร้างแต่ความแตกแยก เอาแนวคิดไวรัสจากไหนมาไม่รู้ พร่ำบ่นมีปัญหากับทุกเรื่อง ผมก็เข้าใจนะ ปัญหามันคงมีมาตั้งแต่ความขัดแย้งในครอบครัวตนเอง ในระดับพื้นฐาน ความไม่สมหวังในชีวิตทั้งหลาย จนสุดท้ายต้องโยนไปให้เจ้า ให้รัฐบาล ให้ระบบแนวคิดเก่า ระบบศาสนา ให้ อะไรก็ได้ ที่ไม่ใช่การยอมรับความผิดตนเอง และยิ่งก่อม็อบรุนแรงๆ กระทบ เศรษฐกิจ กระทบ สังคม ทุกฝ่าย อ้างคำสวยหรู ประชาธิปไตย สิทธิมนุษยชน เสรีภาพ ฯลฯ
ผม คนทำงานด้วยสมอง หยาดเหงื่อ เลือดเนื้อ จิตใจ ที่ไม่ได้ใช้แต่ปาก พูดวาทกรรมสวยหรูที่เป็นไปไม่ได้ในชีวิตจริง ผลงานผมในระดับปัจเจก มันไม่ได้เกิดจากการพร่ำบ่นให้คนอื่นทำ หรือวิจารณ์ไปเรื่อยโดยไม่ทำอะไรสักอย่าง
ผมฟังมาหลายปีแล้ว เลยจะพูดบ้าง และขอบอกว่า ใครไม่พอใจผม ช่วย unfriend ไปเลยนะครับ จะได้รับคนที่ควรเป็นเพื่อนกันเข้ามาเพื่อน และ ไม่ต้องมาขอความช่วยเหลือ ยุ่งเกี่ยวอะไรกันอีก หากละเมิดสิทธิ์ ก็พร้อมดำเนินการทางกฎหมายครับ ทัวร์จะลงก็ blockให้หมด
ชเนษฎ์ เป็น คนธรรมดาที่ต้องทำมาหากิน ขอต่อต้านเสียงอันไม่พึงประสงค์ พวกชังชาติ เกลียดแผ่นดินแม่ ด่ากราดถ่มถุยประเทศตนเองไม่หยุด ถ้ามันลำบากนัก ย้ายประเทศก็ไม่ได้ อยู่ไปก็มีแต่ความเกลียดชังระบบระบอบ ไปเผาร่วมกับแอมมี่ ไปเลยดีไหมครับ ช่วยประเทศได้แน่นอน จะทำต้องทำให้สุด กล้าๆหน่อย พอพวกท่านได้รับการดำเนินคดี เงินรัฐสวัสดิการที่จะช่วยท่านจะได้ไปช่วยคนที่เขารู้คุณค่า ขอบคุณรัฐบาล ประเทศชาติ สถาบัน และพวกเขายังลำบากกว่าอีกหลายเท่าครับ…”
อย่างไรก็ตาม จากข้อมูลหลักฐานของตำรวจ ที่ปรากฎภาพผู้หญิงที่อยู่กับแอมมี่ ในคืนวันก่อเหตุจะเกี่ยวข้องกับลูกไม้หรือไม่นั้น ต้องรอความคืบจากเจ้าหน้าที่ตำรวจต่อไป