รายการ สนธิญาณ ชัด ครบ จบ จริง รายงานว่า คงได้ติดตามการอภิปรายไม่ไว้วางใจกันไปแล้ว อยู่ที่ท่านผู้ชมจะตัดสินใจในคำอภิปรายของฝ่ายค้าน และคำชี้แจงของท่านนายกรัฐมนตรี และบรรดารัฐมนตรีทั้งหลาย รัฐมนตรีคนอื่นก็ว่ากันไป แต่สำหรับ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี จะว่าสนธิญาณอวย สนธิญาณเชียร์ประยุทธ์ออกหน้าออกตาก็ว่ากันไป
แต่บอกได้คำเดียวว่า การอภิปรายไม่ไว้วางใจในครั้งนี้ ทำให้บทบาทของพล.อ.ประยุทธ์โดดเด่นขึ้นอีกมาก ทั้งในฐานะนักการเมือง และในฐานะนายกรัฐมนตรี ลูกล่อลูกชนลูกเล่นถือว่ามาจัดเต็ม แต่มีประเด็นหนึ่งที่ไม่อยากให้มองข้าม เพราะท่านนายกหยิบยกขึ้นมาพูดในตอนที่มีอภิปรายตัวท่านนายก และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ ท่านนายกได้พูดถึงยุคสมัยที่กำลังเกิดขึ้นกับเด็กในปัจจุบัน ท่านผู้ชมได้ยินบ่อยกลุ่มนักเรียนเลว ความจริงกลุ่มนักเรียนเลวเขาตั้งกันเอง มันเป็นการตั้งเพื่อสวนกระแส เพื่อจุดประกายทางความคิดในสังคมของพวกเขา ก็ว่ากันไป ท่านนายกหยิบมาพูดในสภาว่าอย่างนี้
ประเด็นที่ต้องการจะเน้นก็คือ ท่านนายกย้ำว่าผู้ใหญ่เป็นคนทำให้เด็กมีปัญหา เราจะเรียกเขาว่าเป็นนักเรียนเลวได้อย่างไร เขาเป็นนักเรียน เป็นอนาคตของชาติ เพราะฉะนั้นมีอยู่หลายคนในนี้ ตนไม่ขอว่าใคร อย่ามาประท้วงตน เพราะทุกคนรู้ดีอยู่ ก่อนหน้านี้สมัยอายุเท่าตนไม่มีหรอกเรื่องแบบนี้ เรื่องร้ายแรงแบบนี้ไม่เคยมี ทำไมจะต้องให้เขามีปัญหากับกฎหมาย ตนไม่เข้าใจ แล้วมีคนไปแอบอยู่ข้างหลัง ไม่สงสารเด็กบ้างหรือ เมื่อถึงเวลาเขาก็มีเวลาของเขา วันนี้เขาต้องเรียนหนังสือ ไม่เคยมีปัญหาเหล่านี้มาก่อน ตนสังเกตในฐานะเป็นนายกรัฐมนตรีและฝ่ายความมั่นคง ตนสังเกตความเคลื่อนไหวการพูดจาต่าง ๆ สอดคล้องกับสถานการณ์ภายนอกทั้งสิ้น
นั่นคือคำพูดของพ.อ.ประยุทธ์ที่บอกว่าพูดทั้งในฐานะนายกรัฐมนตรี และฝ่ายความมั่นคง โดยเฉพาะคำว่าฝ่ายความมั่นคงต้องเน้นเป็นพิเศษ แสดงว่าได้มีการติดตามประมวลผลลงรายละเอียดในเชิงลึก ว่ามีการเคลื่อนไหวจาบจ้วงโจมตีสถาบันพระมหากษัตริย์กันอย่างไรบ้าง ตอนนี้อย่างต่ำ 60 คน ที่เป็นคนหนุ่มสาว ผมจะไม่เรียกว่าเยาวชน แต่จะขอเรียกว่าเป็นคนหนุ่มสาว ที่จ่อคดีมาตรา 112
ทำไมเด็ก ๆ เหล่านี้ถึงออกมาเคลื่อนไหว ทั้งในฐานะแกนนำ หรือเคลื่อนไหวในการชุมนุม หรือในโลกโซเชียล แล้วมุ่งหน้าโจมตีสถาบันพระมหากษัตริย์อย่างรุนแรง ซึ่งผิดหลักการของการเคลื่อนไหวเปลี่ยนแปลงสังคมไปสู่สังคมที่ดีงามอย่างสิ้นเชิง ผมพูดเหล่านี้ได้เต็มปากเต็มคำ เพราะเคยอยู่ในสถานการณ์เหล่านี้ ผมเข้ามหาวิทยาลัยอายุ 18-19 ปี ช่วงวัยนี้ปี 1 ปี 2 ปี 3 มันเป็นวัยที่มีพลัง มีไฟ และเราเองก็ไม่เคยคิดว่าเป็นเด็ก เด็กเหล่านี้ตอนที่เคลื่อนไหวเขาไม่เคยคิดว่าเขาเป็นเด็ก วัยนั้นในฐานะผู้นำนักศึกษามีแต่ความเชื่อมั่นตนเอง มีแต่ความคิดที่จะเดินไปข้างหน้า ภาษาที่เราจะใช้ให้เข้าใจกันในโลกของคนที่ผ่านโลกมามากก็คือ เราไม่มีสติ เราได้ข้อมูลอะไรมาเราก็เดินไปข้างหน้า
ผมขอบอกว่าไม่สอดคล้องความจริงอย่างสิ้นเชิง วันนี้ในการโจมตีสถาบันพระมหากษัตริย์ ระหว่างให้เกิดการเปลี่ยนแปลงทางสังคมมันเป็นเหยื่อทางการเมืองอย่างเห็นได้ชัด เพราะการเปลี่ยนแปลงทางสังคม จะต้องดำเนินการในการเปลี่ยนแปลงโครงสร้างทางเศรษฐกิจ เพื่อทำให้โครงสร้างทางเศรษฐกิจนี้มันเป็นธรรม จะต้องทำให้โครงสร้างทางเศรษฐกิจนี้เป็นธรรม และกระจายการแบ่งปันไปสู่ประชาชนทุกชนชั้นในสังคม นั่นคือเป้าหมายที่แท้จริงในการเปลี่ยนแปลง ซึ่งการเปลี่ยนแปลงดังกล่าวมันต้องจัดจับคู่ความขัดแย้งที่มีต่อกัน ในเรื่องทางชนชั้นว่า ใครกดขี่ใคร ใครเอาเปรียบ ใครเอาผลประโยชน์ของคนส่วนใหญ่ไปไว้ในกลุ่ม หรือในชนชั้นตัวเอง
สถาบันพระมหากษัตริย์ไม่เคยทำแบบนั้น วันนี้สถาบันพระมหากษัตริย์ยืนยงยืนยงอยู่ได้ด้วยการให้กับประชาชนเป็นหลัก ถึงทำให้คนไทยจงรักภักดี และยึดมั่นกับสถาบันพระมหากษัตริย์ รายได้หลักของสถาบันพระมหากษัตริย์ แน่นอนด้านหนึ่งไปจากงบประมาณในการใช้บริหารราชการในส่วนสถาบันพระมหากษัตริย์ แต่ในแง่ส่วนพระองค์มีสำนักงานทรัพย์สินพระมหากษัตริย์ ซึ่งถือหุ้นบริษัทปูนซีเมนต์ไทย และธนาคารไทยพาณิชย์ 2 องค์กรนี้ก็เป็นที่ยอมรับว่าเป็นองค์กรที่มีธรรมาภิบาล และทำประโยชน์ให้กับสังคมตลอด
ดังนั้นข้อสรุปชัดเจนมันมีการปั่นหัวเด็ก ในการปั่นหัวดังกล่าว ต้องเรียนว่ามันมีกระบวนการการทำงาน ท่านนายกท่านย้ำว่าท่านพูดในฐานะฝ่ายความมั่นคง ตรงนี้ท่านจะต้องกล้าพูดออกสู่สังคมภายนอกให้เข้าใจ ว่ามันมีกระบวนการการจัดตั้งทำงาน
การจัดตั้งมันมีมาตั้งแต่ยุคสมัยผม นักศึกษายุคสมัยผมอยู่ภายใต้การจัดตั้งของคอมมิวนิสต์ เชื่อมโยงเครือข่ายความคิดแล้วก็ให้ความคิดผิด ๆ วันนั้นคอมมิวนิสต์ถึงพ่ายแพ้ แล้วก็คนที่เคยเข้าร่วมกับคอมมิวนิสต์ ถ้าไม่สมองหมาปัญญาควายเกินไป ก็จะเปลี่ยนแปลงมองโลกด้วยความเข้าใจ และถ้ามองโลกลึกซึ้งเห็นถึงสัจจะก็จะนำพาสู่การพาชีวิตเข้าไปสัมผัสกับความเป็นไปทางธรรมชาติ นั่นก็คือพุทธะ
มาถึงวันนี้ เด็กเหล่านี้ความจริงได้มีกระบวนการจัดตั้งมาตั้งแต่สมัยระบอบทักษิณ มันมีอดีตคอมมิวนิสต์เข้ามาทำงาน วันนี้ย้อนกลับไปวันนั้นเด็กรุ่นนั้นวันนี้อายุประมาณ 35 36 32 33 จนใกล้ ๆ 40 ปี ได้รับการจัดตั้งทางความคิดตั้งแต่เป็นนักเรียน มีการจัดตั้งสภานักเรียน จัดเชื่อมโยงเครือข่าย แต่โลกโซเชียลยังไม่แข็งแรงอย่างปัจจุบัน ต้องใช้การสัมมนาพบปะการประชุม พูดคุย แต่วันนี้ใช้โลกโซเชียลในการจัดตั้ง แต่การจัดตั้งนั้นมันเป็นเพียงแค่ยุทธวิธี สาระหลักที่จะดำเนินการให้ทรงประสิทธิภาพได้ก็คือจะต้องมีชุดทางความคิดให้เขาเชื่อว่า สิ่งที่เขาทำนั้นเป็นเรื่องน่าภาคภูมิใจ และเป็นสิ่งที่ถูกต้อง ทั้ง ๆ ที่ผิด ชุดความคิดของกระบวนการจัดตั้งในปัจจุบันคือ การโจมตีสถาบันพระมหากษัตริย์
ใครที่ดูคลิปผม ฝ่ายความมั่นคงต้องส่งให้ท่านนายกดู ไม่ดูไม่ได้ คนแรกผู้ใหญ่ที่ท่านนายกพูดถึงผมจะหยิบยกให้เห็นก่อน ละเลยไม่ได้อายุ 80 แล้ว ชื่อ ชาญวิทย์ เกษตรศิริ เมื่อก่อนผมก็เรียกอาจารย์ชาญวิทย์ ให้เกียรติในงานวิชาการที่ทำออกมาเยอะแยะมากมาย ในฐานะที่เป็นอดีตอธิการบดีมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ วันนี้เรียกชื่อเฉย ๆ ไม่ได้ประท้วง ไม่ได้ต่อต้านอะไร แต่เมื่อไม่มีความนับถือในฐานะอาจารย์ ก็เรียกกันเฉย ๆ
คนนี้แหละตัวพ่อ เป็นคนเปิดประเด็นในการปลุกเร้า สร้างความเกลียดชังให้สถาบันพระมหากษัตริย์ ผมพูดเองไม่มีหลักฐานก็ไม่ได้ ความจริงฝ่ายความมั่นคงมีหลักฐานมากมายว่าฉันวิชาญวิทย์เคลื่อนไหวอย่างไรบ้าง แต่เอาสิ่งที่เขาให้สัมภาษณ์กับวอยซ์ทีวีเกี่ยวกับเรื่องเด็ก ๆ เมื่อไม่กี่วันที่ผ่านมา จะเห็นชัดเจนเมื่อ 14 มกราคม 2564 ที่ผ่านมา ชาญวิทย์ให้สัมภาษณ์กับวอยซ์ออนไลน์ ในเครือของทักษิณ บอกว่าปัจจุบันคนละรุ่นนี้เขาเรียกร้องการยกเลิกหมายถึง มาตรา 112 ไปไกลกว่าแก้ไข ถ้าพูดประเด็นนี้อย่างชัดเจนจริง ๆ คิดว่า 112 มันเป็นกฎหมายที่มีวัตถุประสงค์ต้องการรักษาสถาบันพระมหากษัตริย์ไว้ แต่มันกลับเป็นกฎหมายที่มีความย้อนแย้งอยู่ในตัว
ในความพยายามที่จะรักษาสถาบันพระมหากษัตริย์ อีกด้านหนึ่งกลับมีส่วนบ่อนทำลายสถาบันพระมหากษัตริย์ นี่เป็นความเห็นของชาญวิทย์ ถ้าพูดในแง่ความเป็นมาทางประวัติศาสตร์กฎหมายหมิ่นพระบรมเดชานุภาพมันเคยมีในระบบสมบูรณาญาสิทธิราชย์ มีขึ้นมาในสมัยรัชกาลที่ 5 แต่เมื่อเกิดการเปลี่ยนแปลงการปกครอง 2475 ของคณะราษฎร กฎหมายนี้ได้ถูกยกเลิกไปแล้ว โดยข้อเท็จจริงทางประวัติศาสตร์ไม่มีแล้วใช่ไหม เรามีมาตรา 112 ในปัจจุบันมาเกิดขึ้นใหม่ในสมัยรัชกาลที่ 9 และยังถูกเพิ่มโทษจำคุกให้รุนแรงสูงสุดในโลกถึง 15 ปี
ท่านผู้ชมครับอันนี้บิดเบือน แน่นอนครับว่าพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวรัชกาลที่ 9 ครองราชย์ยาวนานพระองค์ท่านครองราชย์ถึง 70 พรรษา และถ้าเรามองย้อนไปถึงรากที่มากฎหมายนี้ออกในสมัยรัชกาลที่ 5 อยู่ในระบบสมบูรณาญาสิทธิราชย์ คำสั่งพระราชดำรัส คำตัดสินของพระมหากษัตริย์ถือเป็นกฎหมาย ถามว่าพระองค์อำนาจขนาดนั้นยังออกกฎหมายมาเพื่ออะไร ก็เพื่อต้องการสร้างบรรทัดฐานให้สังคมได้ดำรงอยู่กันด้วยความยุติธรรม ต้องให้ความยุติธรรมกับสถาบันพระมหากษัตริย์ด้วย
และที่ผมบอกว่าบิดเบือน ที่บอกว่าคณะราษฎรยกเลิกแล้วมาออกอีกครั้งในสมัยรัชกาลที่ 9 ใครออกก็ จอมพล ป. พิบูลสงคราม คนในคณะราษฎร์นั่นเอง ผมถึงได้บอกว่าคณะราษฎร์นั้นมันผสมปนเปกัน ส่วนที่ดีนั้นมีบ้างแต่มันน้อย ผมก็เชื่อตามเหตุผลที่ผมศึกษามา คือท่านอาจารย์ปรีดี ส่วนอื่นแทบจะทั้งหมด ช่วงชิงอำนาจ ฆ่าฟันเข่นฆ่ากัน ทำทุกวิถีทางและมาออกกฎหมายมาตรา 112 เพื่ออะไร ก็เพื่อเป็นเครื่องมือทางการเมือง เหมือนที่ชาญวิทย์ว่า แต่คนออกคือคณะราษฎร คือจอมพล ป. นี่แหละคือการบิดเบือนตัวพ่อ
คนต่อมาจากชาญวิทย์ก็คือสมศักดิ์ เจียมธีรสกุล แต่สำหรับ สมศักดิ์ เจียมธีรสกุล แน่นอนก็มาจากสำนักธรรมศาสตร์เหมือนกัน ย้ำเตือนอดีตเป็นผู้นำนักศึกษายุคสมัย 6 ตุลาฯ ซึ่งถูกความคิดครอบงำว่า สถาบันพระมหากษัตริย์เป็นผู้อยู่เบื้องหลัง การเข่นฆ่านักศึกษาประชาชนในวันนั้น แต่ต่อมามีเสียงของสมศักดิ์ชัดเจน ยืนยันว่าสถาบันพระมหากษัตริย์ไม่เกี่ยวข้อง
แต่ผมหยิบยกตัวเขาขึ้นมาพูด สำหรับผมเองต้องเรียนท่านผู้ชมว่าแบบนี้ว่า ให้ความนับถือสมศักดิ์ เจียม สมศักดิ์ เจียม จะเป็นคนที่ให้ข้อมูลโดยมีเหตุมีผลเสมอ และเมื่อมีข้อมูลใหม่ ๆ กลับเข้ามา เขาก็จะพิจารณาในฐานะนักวิชาการแบบจริงจัง ถือว่าข้อมูลเรื่องสถาบันพระมหากษัตริย์ที่ก่อนเคยให้มาก่อนหน้านี้ก็เป็นไปตามภาพความคิดข้อมูลที่เขาได้รับมา วันนี้ถูกมาตรา 112 ยังกลับประเทศไทยไม่ได้ แต่ในฐานะนักวิชาการก็ถือว่าเป็นคนที่ยังนับได้ว่าเป็นนักวิชาการ เพราะมีเหตุมีผล
ถัดจากสมศักดิ์ เจียม ไปนั้น อันนี้คือตัวปั่น ธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ ปิยบุตร แสงกนกกุล ปวิน ทำไป หลอกเด็กไป ปั่นไป ด่าทอกันเอง
จุดที่จะเน้นในการพูดคุยวันนี้อยากให้ท่านนายกรัฐมนตรีได้ตระหนักข้อมูล สิ่งที่ผมนำเสนอจริง ๆ เป็นข้อมูลที่อยู่ในสาธารณะแล้ว ผมจะมาจัดเรียงให้เห็นว่าอันตรายที่มันเกิดขึ้นเป็นอย่างไร คนนี้ชื่อ นิธิ เอียวศรีวงศ์ แก่กว่าชาญวิทย์ 1 ปี สมัยก่อนผมก็เรียกอาจารย์เหมือนกัน ให้มุมมองหลักคิดใหม่ ๆ หลายอย่างแก่ผมในการศึกษางานของนิธิ แต่นานไป ๆ มันดูท่าเหมือนกับว่า แก่แล้วเป็นเหมือนกับโบราณว่าไว้ อัตรายิ่งสูงอัตรายิ่งสูง
และล่าสุดที่ต้องหยิบยกเอามาพูดถึง เนื่องจากว่าไปให้การรับรอง ณัฐพล ใจจริง อาจารย์หัวหน้าสาขาวิชาการปกครองท้องถิ่น มหาวิทยาลัยราชภัฏสวนสุนันทา นี่คือประวัติของ ณัฐพล แต่ที่โด่งดัง และดังมากก็คือการทำวิทยานิพนธ์เรื่อง การเมืองไทยสมัยรัฐบาลจอมพล ป.พิบูลสงคราม ภายใต้ระเบียบโลกของสหรัฐอเมริกา และปรากฏว่ามีการใช้ข้อมูลหลักฐานมาอ้างอิงไม่จริง โกหกบิดเบือน 30-40 จุด เพื่อให้ร้ายกับสถาบันพระมหากษัตริย์
นายณัฐพล ใจจริง จบปริญญาตรีรัฐศาสตร์บัณฑิต การเมืองการปกครอง เกียรตินิยมอันดับ 2 และที่สำคัญได้รับรางวัลทุนภูมิพล ปริญญาโทรัฐศาสตร์มหาบัณฑิต การปกครองมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ปริญญาเอกดุษฎีบัณฑิต การเมืองเปรียบเทียบ (วิทยานิพนธ์ดีมาก) ของจุฬาฯ
จากวิทยานิพนธ์ที่มีการบิดเบือนและผิดพลาดอย่างมากมายนั้น นิธิให้การรับรองว่ายังไง เมื่อกี้ผมจะขยายให้ท่านผู้ชมได้รับทราบ นิธิบอกว่าผลงานของณัฐพลทำให้เขาที่เคยตาสว่างอยู่แล้วตาสว่างยิ่งขึ้นไปอีก งานที่ปลอมแปลง โกหก มีเจตนาให้ร้ายสถาบันพระมหากษัตริย์ ตาสว่างยังไง สว่างแล้วสว่างยิ่งขึ้น เห็นผิดอยู่แล้วก็ยิ่งเห็นผิดขึ้น นี่คือสิ่งที่ยกขึ้นมา แต่ประเด็นไม่ได้อยู่ตรงนี้ท่านนายก
ประเด็นมันอยู่ที่ว่างานชิ้นนี้แหละที่ใช้อ้างอิงปลุกระดมเด็กในทุกวันนี้ วิธีปลุกระดมนั้น เอางานวิทยานิพนธ์ที่เป็นงานวิชาการไปตีพิมพ์เป็นหนังสือ 2 เล่ม คือ ขอฝันใฝ่ในฝันอันเหลือเชื่อ เล่มที่ 2 คือขุนศึกศักดินาและพญาอินทรี ผมเมื่อก่อนว่าจะอ่าน คอยจับผิด แต่หลังจากที่ อาจารย์ไชยันต์ ไชยพร ที่จะพูดถึงเหมือนกัน ที่ออกมาตีแผ่ ผมไม่อ่านถือว่าเป็นขยะไม่มีราคาที่จะอ่าน
หนังสือ 2 เล่มนี้ เอามาตีพิมพ์โดยฟ้าเดียวกันของธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ เริ่มเป็นกระบวนการแล้ว เริ่มเห็นภาพ หลังจากตีพิมพ์กลายเป็นหนังสือขายดี เรียกว่าในยุคของการปลุกผีคณะราษฎรขึ้นมาใหม่อีกครั้งหนึ่ง กระแสคณะราษฎรถูกหยิบยกขึ้นมาโดยม็อบ 3 กลีบ คณะราษฎร 63 แต่หารู้ไหมว่ายิ่งทำให้การขุดค้นตีพิมพ์ตีแผ่ความชั่วร้ายของคณะราษฎรซึ่งเข้ามารัฐประหาร ไม่มีความพร้อม ไม่มีการเตรียมการประเทศไทยหานะ เป็นปัญหามาจนถึงปัจจุบันนี้ ก็เพราะคณะราษฎร
ผมได้เคยคุยกับอาจารย์ไชยันต์ ไชยพร ด้วยตัวเอง ได้ยินจากหูตัวเอง ว่าวิทยานิพนธ์ฉบับนี้ มีการอ้างอิงหลักฐานโกหก ไม่มีอยู่จริง แต่เอาที่ชัด ๆ ณัฐพลไปอ้างอิงหนังสือพิมพ์บางกอกโพสต์วันที่ 18 ธันวาคม 2493 ถือว่า 70 ปีกว่า บิดเบือน จุดของการบิดเบือนนั้น ก็คือบิดเบือนว่าผู้สำเร็จราชการแทนเข้าไปประชุมในคณะรัฐมนตรี ซึ่งนำโดยจอมพล ป.พิบูล สงคราม อยู่บ่อยครั้ง
ในยุคนั้นขอเรียนท่านผู้ชมว่า จอมพล ป.ครองอำนาจ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวรัชกาลที่ 9 ยังไม่ได้กลับมาจากต่างประเทศ การบริหารราชการแผ่นดิน การจัดการ การตั้งผู้สำเร็จราชการแทน เป็นเรื่องของรัฐบาลจอมพล ป. ซึ่งแข่งพระบารมีกับพระมหากษัตริย์ตลอดมา จอมพล ป. ในปีพุทธศักราช 2494 ขณะพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวกำลังเสด็จพระราชดำเนินกลับประเทศไทย เรือกำลังจะเข้าเขตน่านน้ำไทย จอมพล ป.รัฐประหารตัวเอง เอารัฐธรรมนูญปี 2475 มาใช้ เพื่อจำกัดบทบาทของสถาบันพระมหากษัตริย์ และณัฐพลเอาเรื่องนี้มาอ้าง แต่ไม่เป็นไรหรอกครับ เอาที่ชัด ๆ เลย ก็คือปรากฏว่าเมื่อวันที่ 28 ธันวาคม 2563 กองบรรณาธิการของหนังสือพิมพ์บางกอกโพสต์ได้แถลงว่า ข่าวที่ณัฐพลเอาไปอ้างนั้นไม่มีอยู่จริง มันเป็นการจับโกหกจากองค์กรสื่อ ซึ่งอยู่ต่อเนื่องมาอย่างยาวนาน 70-80 ปี อายไหม ไม่อาย จุฬาฯ ทำอะไรไหม ไม่ทำ เฉยต่อกรณีเรื่องนี้ แล้วที่ผมเรียนว่าหนังสือ 2 เล่มนี้ของฟ้าเดียวกัน ที่มาจากวิทยานิพนธ์ของณัฐพงษ์
อาจารย์ไชยันต์ ไชยพร ได้สัมภาษณ์ กับ manager online บอกว่า เมื่อทักท้วงไปแล้ว คิดว่าเขาจะไปแก้นะ ผมก็ไม่ได้ไปตามอะไร แต่ว่ารู้สึกว่าจะเป็นปี 2562 หรือ 2563 ไม่แน่ใจ มีนิสิตปี 1 ตอนนั้นผมต้องมีหน้าที่สอนวิชาการเขียนรายงานการอะไรสำหรับนิสิตปี 1 และนิสิตปี 1 ก็มาบอกผมว่า มีรุ่นพี่จัดสัมมนาแล้วก็เอาหนังสือขอฝันใฝ่มาพูด ก็คือเนติวิทย์ เอาหนังสือมาสัมมนา พอผมรู้เรื่องเข้า ผมก็เรียกเนติวิทย์มาบอกว่า คุณจะพูดเรื่องหนังสือเล่มนี้ในส่วนไหนก็ได้ แต่อย่าพูดในส่วนนี้นะ เพราะส่วนนี้มันไม่ถูกต้อง และนอกจากนี้ผมยังให้หลักฐานนิสิตปี 1 ดูเพราะผมสอนวิธีการเขียนรายงานอ้างอิง เพราะฉะนั้นผมจึงรู้ว่าตกลงเขายังไม่ได้แก้
ผมจึงติดต่อไปยังบัณฑิตวิทยาลัยบอกว่าตกลงเขายังไม่ได้แก้นะ บัณฑิตวิทยาลัยส่งจดหมายไปอีก บอกอาจารย์ณัฐพลว่าแก้เถอะ ช่วยหน่อย ผมอ่านแล้วก็เศร้า วันนี้จุฬาฯ ก็ยังไม่แสดงความรับผิดชอบ ที่ผมบอกว่าจุฬาฯ ไม่รับผิดชอบอะไร เพราะปกติแค่ไปทำซ้ำไปทำลอกเขามา วิทยานิพนธ์ได้ดร.นั้นก็มีปัญหาแล้ว คืออาจารย์ไชยันต์ก็บอกว่าปกติกติกาสากลแก้ไม่ได้หลังจากจบแล้ว ถ้าอย่างนั้นถ้าแก้ได้ผมก็ไปแก้ให้ ผมไปแก้ปรับปรุงวิทยานิพนธ์ ผมดีมากเลย จุฬาฯ ในแง่หนึ่งก็ทำถูกแล้ว ที่กฎเขาห้ามแก้แต่อย่างว่าเราก็แบบไทย ๆ ที่คิดว่าเอาน่ะ เขายอมรับผิดแล้วก็แก้หน่อย ที่แก้เพราะไม่ให้ข้อมูลผิดพลาด
ตรงนี้สำคัญที่อาจารย์ไชยันต์ให้สัมภาษณ์กับ manager online อาจารย์ไชยันต์ย้ำอย่างนี้ ท่านให้เหตุผลว่าปัญหาหลักมันอยู่ที่ คนมันเสพถ้ามันเสียเข้าไป ถ้าการเมืองมันนิ่งเสพผิดก็ไม่มีปัญหา แต่ถ้าการเมืองไม่นิ่งเสพไปแล้วในที่สุดเขาบอกต้องปฏิรูปสถาบัน ใช้อำนาจแอบแฝงมาตลอด แล้วโดยเฉพาะตั้งแต่รัชกาลที่ 9 ตั้งแต่กรมขุนชัยนาทเรื่อยมา อย่าลืมนะครับว่าหนังสือขอฝันใฝ่ เป็นหนังสือที่ฮิตมากในบรรดาหมู่เยาวชนที่มาชุมนุม แล้วมันรู้สึกแย่นะว่าสิ่งที่เราเขียนไปมันผิดพลาด แล้วทำให้บ้านเมืองมันเกิดความวุ่นวาย ผมไม่ได้หมายความว่า แค่ความนั้นทำให้เด็ก แต่ข้อความนั้นเป็นส่วนหนึ่งที่จะเป็นจิ๊กซอว์ที่จะทำให้เห็นว่าสถาบันพระมหากษัตริย์มันมีปัญหามา คือผมต้องยืนยันนะ ผมไม่ได้จะมาปกป้องว่ากษัตริย์ไม่เคยแทรกแซงการเมือง หมายถึงหลัง 2475 ผมคิดว่าหลังการศึกษาการเมืองการปกครองของสวีเดน ตั้งแต่ศตวรรษที่ 16 17 18 มา มันมีโอกาสการแทรกแซงอยู่แล้ว ทางฝ่ายรัฐสภาจะไปแทรกแซงกษัตริย์ กษัตริย์แทรกแซงสภา แต่ทีนี้ประเด็นคือผมไม่ได้คิดต้องปกป้องว่ากษัตริย์ไทยไม่เคยแทรกแซง แต่ถ้าคุณบอกว่าแทรกแซงคุณต้องมีหลักฐานเท่านั้นแหละ ผมแค่นี้เอง ผมไม่ได้บอกว่าต้องมาปกป้องแบบไม่ได้เลย พูดไม่ได้ ไม่ใช่ แต่ขอให้มีหลักฐาน
เอาชัด ๆ แค่นี้ครับ ฝ่ายความมั่นคงหรือใครที่ดูผมแล้วรู้จัก พล.อ.ประยุทธ์เรื่องนี้เป็นเรื่องใหญ่ ผมพูดมาโดยตลอดว่าท่านจะต้องปรับระบบการฝึกการศึกษาของชาติใหม่ ส่วนท่านจะปรับรัฐมนตรีศึกษาหรือไม่นั้นเป็นเรื่องของท่าน แต่ยุคนี้มันเป็นยุคที่ต้องต่อสู้ และเอาความจริงมาต่อสู้ อย่าทำเป็นอีแอบ ผมหมายถึงรัฐบาล หมายถึงฝ่ายความมั่นคง พอเขาบอกว่าทำไอโอ ทำนู่น ทำนี่ มาแก้ตัวมานั่นโน่นนี่ บอกเลยทำ เพราะต้องต่อสู้กัน ต่อสู้กับพวกบิดเบือน ต่อสู้กับพวกที่ต้องการล้มเจ้า ไม่ได้ต่อสู้กับประชาชนคนไทย
มันเหมือนกับสมัยก่อนเกือบพ่ายแพ้ให้กับคอมมิวนิสต์ เพราะไปต่อสู้กับประชาชนคนไทย พล.อ.เปรมท่านถึงต้องแยก คือเลวก็ต้องแยกออกไป คนไทยดี ๆ ก็ต้องแยกออกมา ที่หลงผิดไป เด็กในวันนี้หลงผิดเพราะข้อมูลพวกนี้ ดังนั้นใครผิดต้องดำเนินคดี เด็กที่ไม่รู้อิโหน่อิเหน่ ไม่มีเจตนาก็ว่าเจตนาคัดแยกมา ทำกันไปตามกรอบกฎหมาย แต่ต้องกล้าพูด
ท่านนายกอยากให้มาคารวะท่านอาจารย์ไชยันต์ อันนี้คนจริง ท่านผู้ชมจะนึกไม่ออก ผมจะทบทวนให้ อาจารย์ไชยันต์ก็คือคนที่ฉีกบัตรเลือกตั้งต่อหน้าสื่อมวลชน ในการเลือกตั้งเมื่อปีพศ 2549 เป็นการแสดงอารยะขัดขืน และยอมรับผลตามกฎหมาย คนแบบนี้น่านับถือ
ท่านนายกต้องเอาคนแบบนี้มาใช้บ้าง ผมไม่ได้หมายความว่านักวิชาการเขาจะมาชูฮกตัวให้กับรัฐบาล มาใช้เขาทางวิชาการบ้าง เขาทำในการเปิดเผยข้อมูล เขาไม่ได้กลัวว่าเขาโดดเดี่ยว แต่เอาสิ่งที่เขาทำมาขยายความบ้าง อาจารย์ไชยันต์เขาบอกว่า ถูกขนานนามว่าเป็นไดโนเสาร์ตัวสุดท้ายของคณะรัฐศาสตร์ จุฬาฯ ด้วยความเคารพอาจารย์ไชยันต์เพราะอาจารย์บอกว่า คืนไหนไม่ได้ดูรายการผมนี้นอนไม่หลับ วันนี้ผมพูดถึงอาจารย์เป็นการเฉพาะ จงภูมิใจถ้าเขาเรียกอาจารย์เป็นไดโนเสาร์ ผมมีครูซึ่งผมให้ความเคารพมากในการทำงานสื่อสารมวลชนคนหนึ่งชื่อ ชัชรินทร์ ไชยวัฒน์ ชัชรินทร์ทำงานด้วยอุดมการณ์มาตลอด วันหนึ่งเครือข่ายมติชนวันนี้ที่เปลี่ยนสีแปรธาตุไปอยู่กับธนาธรแล้ว บอกว่าเป็นไดโนเสาร์ ชัชรินทร์ตายแน่นอน ชัชรินทร์เขาตอบว่าตายในฐานะไดโนเสาร์ดีกว่ากลายพันธุ์ไปเป็นเหี้… ด้วยความเคารพท่านอาจารย์ไชยันต์